การท่าเรือฯสานต่อพระราชปณิธาน ร.10 มอบเงินสนับสนุนจัดหารถตรวจ Mammogramให้แก่มูลนิธิกาญจนบารมี

0
161

การท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมสานต่อพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยมอบเงินสนับสนุนในการจัดหารถตรวจเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ประสิทธิภาพสูงหรือรถแมมโมแกรมให้แก่มูลนิธิกาญจนบารมี เพื่อสืบสานพระราช-ปณิธานของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในการสนับสนุนการดำเนินการทางการแพทย์และสาธารณสุข เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของสตรีกลุ่มเสี่ยงผู้ด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลจากโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ให้สามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น อันจะเป็นการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมี เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานการท่าเรือฯ มอบเงินจำนวน 33,000,000 บาท ให้แก่มูลนิธิกาญจนบารมี ภายใต้โครงการ “70 ปี การท่าเรือฯ มอบรถตรวจเอกซเรย์ เต้านมเคลื่อนที่ (Mammogram) ให้แก่มูลนิธิกาญจนบารมี” โดยมี ดร.นายแพทย์ สมยศ ดีรัศมี ประธานมูลนิธิกาญจนบารมี เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุมชั้น 19 อาคารที่ทำการการท่าเรือฯ

การท่าเรือฯ ได้ดำเนินโครงการ “70 ปี การท่าเรือฯ มอบรถตรวจเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ให้แก่มูลนิธิกาญจนบารมี” ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 70 ปี ซึ่งเป็น 1 ใน 17 โครงการที่การท่าเรือฯจะดำเนินการเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการมอบเงินสนับสนุนจัดหารถตรวจเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ประสิทธิภาพสูงชนิดสองมิติให้แก่มูลนิธิฯ จำนวน 1 คันในวงเงินจำนวน 33,000,000 บาท ซึ่งภายในรถดังกล่าวประกอบด้วยเครื่องตรวจเต้านมด้วยคลื่นเสียง-   ความถี่สูง พร้อมจอวินิจฉัยภาพความละเอียดประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ได้ภาพเอกซเรย์เต้านมที่เห็นโครงสร้างความผิดปกติได้อย่างชัดเจน และใช้โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการช่วยหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อเต้านมอัตโนมัติ

ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ กล่าวว่า“การร่วมสนับสนุนรถตรวจเอกซเรย์เต้านมระบบดิจิตอลเคลื่อนที่ที่มีประสิทธิภาพสูง ทันสมัย และครบวงจรในครั้งนี้ เป็นการช่วยสนับสนุนภารกิจของมูลนิธิฯในการตรวจคัดกรองเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นให้แก่สตรีกลุ่มเสี่ยงและผู้ด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารให้สามารถเข้าถึงบริการด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และคลอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ อันจะนำไปสู่การรักษาได้อย่างทันท่วงที และเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้สูงถึง 90%”