“ศักดิ์สยาม”สั่งกทท.เร่งศึกษาธุรกิจต่อเนื่อง รับอีอีซี-แลนด์บริดจ์

0
105

“ศักดิ์สยาม”สั่งกทท.เร่งศึกษาแตกไลน์ธุรกิจต่อเนื่องหลังท่า วางโมเดลลงทุนโลจิสติกส์ครบวงจร รองรับต่อยอดโครงการ”อีอีซีและแลนด์บริดจ์”ดันไทยฮับโลจิสติกส์ของภูมิภาค

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนาการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ครบรอบ 71 ปี ว่า ได้มอบนโยบายให้กทท. เร่งรัดศึกษาและพัฒนาระบบ Port Automation และใช้ระบบ AI เพื่อให้ท่าเรือของไทยมีระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนด้านการบริหารจัดการ นอกจากนี้จะต้องเตรียมรองรับโครงการพัฒนาเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) ที่จะแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งกทท.มีภารกิจในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (ในส่วนของท่าเรือ F) จะต้องเตรียมพร้อมทั้งการศึกษาแผนงานเพื่อเตรียมพร้อมด้านบุคลากร เทคโนโลยี เครื่องมือต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถอีกไม่น้อยกว่า 1 เท่าตัวในการรองรับการพัฒนาและปริมาณสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นจาก 9 ล้าน TEU เป็น 18 ล้าน TEU

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ (Land bridge) ชุมพร-ระนอง ซึ่งเป็นนโยบายรัฐบาลในการเชื่อมโยงโลจิสติกส์การขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งจะเปิดในปี 2572 โดยกทท.จะต้องศึกษารูปแบบการทำธุรกิจที่ต่อยอดจาก แลนด์บริดจ์ พัฒนาธุรกิจต่อเนื่องหลังท่าให้ครบวงจร ซึ่งรูปแบบการลงทุนเป็นไปได้ทั้งการร่วมลงทุนเอง หรือสนับสนุนภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ เพราะทั้งท่าเรือและกิจกรรมซัพพลายเชนหลังท่า จะมีส่วนสำคัญทำให้ท่าเรือแหลมฉบัง และโครงการแลนด์บริดจ์ เป็นประตูหรือเกตุเวย์ที่เปิดกว้างในการขนส่งทางน้ำมากขึ้น โดยมีที่ตั้งเป็นศูนย์กลางของอาเซียนจึงได้เปรียบในการลดระยะเวลาเดินทางจากฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย โดยไม่ผ่านช่องแคมมะลากไม่น้อยกว่า 4-5 วัน ซึ่งจะลดต้นทุนและเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ทั้ง 4 มิติอันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ทางน้ำของภูมิภาคอาเซียนต่อไป

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันปริมาณเรือที่ผ่านช่องแคบมะละกาปัจจุบันปีประมาณ 80,000-90,000 ลำ/ปี และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 125,000 ลำในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้การจราจรทางน้ำติดขัดอย่างมาก ซึ่งการศึกษาโครงการ Land bridge ในเฟสแรก คาดว่าจะรองรับปริมาณเรือที่เคยผ่านมะละกาได้ประมาณ 10-20% หรือไม่ต่ำกว่า 20,000 ลำ/ปี ซึ่งการจะให้บริษัทเดินเรือขนาดใหญ่มาใช้แลนด์บริดจ์ นอกจากท่าเรือ ระบบโลจิสติกส์ต่อเนื่องแล้ว จะต้องมีธุรกิจหลังท่าที่ครอบคลุม เช่น ธุรกิจที่ต่อเนื่องกับการเดินเรือ ทั้งการซ่อมบำรุง การบริการน้ำมัน หรือการส่งกำลังบำรุงต่างๆ ซึ่งกทท.ต้องไปศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการขยายหรือแตกไลน์ธุรกิจรองรับ รวมถึงรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม หลักการคือ ต้องทำให้ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากแลนด์บริดจ์ตกอยู่กับประเทศไทย และจะมีการประเมินว่าจะผลักดัน แลนด์บริดจ์ ในเฟสต่อไปอย่างไรอย่างไรก็ตามให้กทท. ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กรณีมีการร่วมทุนหรือขยายธุรกิจเพิ่มเติม หากจำเป็นสามารถที่จะปรับปรุงพ.ร.บ.การท่าเรือฯ พ.ศ. 2494 เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต

นอกจากนี้ในส่วนของการปรับปรุงประสิทธิภาพงานบริการของท่าเรือให้มีความทันสมัย เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ ทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ใช้บริการทั้งในและต่างประเทศ สร้างความสามารถการแข่งขันให้กับประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาล โดยเฉพาะการเร่งจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของกองเรือพาณิชย์ไทย การส่งเสริมนโยบายการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากระบบถนนสู่ระบบราง การขนส่งทางลำน้ำและชายฝั่ง (Shift Mode) เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ โครงการพัฒนาศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการของท่าเรือระนอง โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) โครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษ สายบางนา – อาจณรงค์ (S1) โครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยในชุมชนคลองเตย (Smart Community) การพัฒนาการเชื่อมโยง Data Logistic Chain ด้วยระบบ Port Community System

นอกจากนั้น กทท. มีแผนการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของท่าเรือ การพัฒนาธุรกิจและสินทรัพย์ การพัฒนาระบบบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน การพัฒนาสมรรถนะองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม การพัฒนาสมรรถนะองค์กรด้วยกระบวนงานทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาองค์กรอย่างมีส่วนร่วมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน