การท่าเรือฯเผยผลกระทบนโยบายเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ดันตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังเพิ่มกว่า 10% ช่วง 5 เดือนแรกปี 68 จนเกิดปัญหาจราจรติดขัดรุนแรง คาดปีนี้มีรถบรรทุกมากกว่า 5.4 ล้านคัน/ปี ร่ายมาตรการด่วน-คู่ขนาน-ระยะยาว ลุยไฟแก้ปัญหาจราจรแออัด ยันไม่มีนโยบายเก็บค่าธรรมเนียมใดๆเพิ่มเติม
จากนโยบายประกาศเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ทำให้มีการเร่งการขนส่งสินค้ามากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เพิ่มขึ้นกว่า 10% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 การเพิ่มขึ้นของตู้สินค้าอย่างรวดเร็วและไม่ปกตินี้ ส่งผลให้ปริมาณรถบรรทุกหนาแน่น เกิดปัญหาจราจรติดขัดรุนแรงในพื้นที่เกินโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับปริมาณตู้สินค้าและรถบรรทุกที่เข้ามาใช้บริการ ทลฉ. ณ ปัจจุบัน ประกอบกับการขนส่งทางเรือล่าช้าไม่สามารถเทียบท่าได้ตามกำหนดเวลา และตู้สินค้าคงค้างภายในพื้นที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก คาดว่าในปี 2568 จะมีรถบรรทุกมากกว่า 5.4 ล้านคัน/ปี (เฉลี่ยวันละ 15,000 คัน ซึ่งบางวันมีปริมาณรถสูงถึง 20,000 คัน/วัน)

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ร่วมกับผู้บริหาร ทลฉ. ได้ประชุม ติดตาม ลงพื้นที่สำรวจเส้นทางการจราจร เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของปัญหาการจราจรติดขัดในครั้งนี้ โดย กทท. ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
• มาตรการเร่งด่วน
– จัดพื้นที่ลาน 70 ไร่ และ 22 ไร่ สำหรับให้รถบรรทุกที่รอเข้าท่าเทียบเรือ
– เพิ่มพื้นที่ภายในศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ เพื่อวางตู้สินค้าขาออก
– ประสานงานศุลกากรเพื่ออนุญาตนำตู้สินค้าขาเข้ามาจัดเก็บนอกเขตท่าเทียบเรือเป็นการชั่วคราว
– บังคับใช้ Truck Queue 100% ภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อบริหารจัดการรถบรรทุกให้กระจายตัว
– พัฒนา Mobile Application สำหรับแก้ไขปัญหาด้านการจราจร
– ขอความร่วมมือหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้เพิ่มระยะเวลาการปฏิบัติงานให้ยาวขึ้น
– เร่งเปิดช่องทางเข้า – ออก เพิ่มเติม (ปัจจุบันมีข้อจำกัดด้านกฎหมาย) และปรับเปลี่ยนช่องทางเข้า – ออกให้สอดคล้องกับสถานการณ์จราจรในแต่ละช่วงเวลา
– จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง
– จัดห้องสุขาเคลื่อนที่ภายในพื้นที่เพิ่มเติมอีกจำนวน 12 จุด เพื่อบริการได้อย่างทั่วถึง
• มาตรการคู่ขนาน
– เตรียมพื้นที่ 83 ไร่ (นอกเขตรั้วศุลกากร) เป็นจุดพักคอยของรถบรรทุกตู้สินค้าก่อนเข้าสู่ท่าเทียบเรือ
– ปรับพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ เป็นพื้นที่สำรองในการจอดรถบรรทุก
• มาตรการระยะยาว
– จัดทำ Master Plan เพิ่มโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ให้สอดคล้องกับปริมาณการขนส่งตู้สินค้าที่เพิ่มขึ้น
– เร่งรัดการพัฒนาโครงการท่าเทียบเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ให้เปิดบริการได้ภายในปลายปี 2570
– ปรับโครงสร้างค่าภาระให้เหมาะสม เพื่อบริหารตู้ตกค้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ผู้อำนวยการ กทท. ยืนยันว่าท่าเรือแหลมฉบังไม่มีนโยบายการจัดเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ เพิ่มเติมและในฐานะเจ้าของพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังให้ความสำคัญกับการคลี่คลายสถานการณ์นี้อย่างจริงจังและเร่งด่วน และเชื่อมั่นว่าการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการท่าเทียบเรือ ผู้นำเข้า – ส่งออก ผู้ประกอบการขนส่งทางบก ฯลฯ จะนำไปสู่แนวทางการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป
