กรมทางหลวงชนบท(ทช.)พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคเหนือ พร้อมแบ่งเบาจราจรบนถนนสายหลัก เดินหน้าสร้างถนนสายแยก ทล.11 – ทล.1 อ.เมือง จ.ลำปาง (ตอนที่ 1) 5.400 กม.งบประมาณ 678.900 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จในปี 70
นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดี ทช. กล่าวว่า จังหวัดลำปางตั้งอยู่กึ่งกลางของภาคเหนือ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า เชื่อมโยงเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนและตอนล่าง สามารถพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางการค้าและเป็นประตูเศรษฐกิจในการติดต่อเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนในอนาคต ปัจจุบันการจราจรในพื้นที่ชุมชนเมืองของจังหวัดลำปาง รถบรรทุกขนส่งสินค้ายังต้องวิ่งสัญจรผ่านเมือง ส่งผลให้ถนนไม่สามารถรองรับปริมาณการจราจรได้เพียงพอในช่วงเวลาเร่งด่วน โดยเฉพาะ ทล.1 (ถนนพหลโยธิน) ช่วงระหว่างแยกศรีชุมไปห้าแยกประตูชัย ทั้งนี้ เพื่อให้โครงข่ายคมนาคมขนส่งของจังหวัดลำปางสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทช. จึงได้ดำเนินการก่อสร้างถนนสายดังกล่าว ระยะทาง 5.400 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างสะพานข้ามคลอง 3 แห่ง ใช้งบประมาณ 678.900 ล้านบาท โดยแบ่งการก่อสร้าง ดังนี้
– จุดเริ่มต้นโครงการบริเวณ กม. ที่ 0+000 (เชื่อมกับ ทล.11 ตอนลำปาง – เชียงใหม่ บริเวณ กม. ที่ 466+075 ด้านขวาทาง) – กม. ที่ 0+390 ระยะทาง 0.390 กิโลเมตร
– ก่อสร้างถนนเป็นผิวจราจรแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ขนาด 4 ช่องจราจร บริเวณ กม. ที่ 0+970 – 2+610 และ กม. ที่ 3+186 – 5+160 ระยะทาง 3.614 กิโลเมตร
– ก่อสร้างถนนเป็นผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 8 – 10 ช่องจราจร บริเวณ กม. ที่ 2+610 – 3+186 (ตัด ทล.1039 กม. ที่ 6+442.674) ระยะทาง 0.576 กิโลเมตร
– ก่อสร้างถนนเป็นผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 4 ช่องจราจร บริเวณ กม. ที่ 5+160 – 5+400 (ตัด ทล.1157 บริเวณ กม. ที่ 2+245) ระยะทาง 0.240 กิโลเมตร
– บริเวณ กม. ที่ 0+676.528 ก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ ขนาด 4 ช่องจราจร ความยาวสะพาน 580 เมตร
ทั้งนี้ เมื่อถนนสายนี้แล้วเสร็จ จะสามารถลดเวลาการเดินทาง ลดระยะทางจากเส้นทางผ่านเมืองที่ใช้ในปัจจุบันได้ประมาณ 3 กิโลเมตร และแยกรถบรรทุกจากเมือง เพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนที่สัญจรในชุมชนเมืองมากขึ้น ตลอดจนเป็นการยกระดับโครงข่ายการคมนาคมขนส่งของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนและตอนล่างให้สมบูรณ์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง สู่การเป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางการค้า และเป็นประตูเศรษฐกิจในการติดต่อเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ