ลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ส่งด่วน สู่โอกาสเฉิดฉายในตลาดอีคอมเมิร์ซ

0
182

ธุรกิจที่มาแรงจนสามารถโตแบบก้าวกระโดดสวนกระแสเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก คงหนีไม่พ้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซและธุรกิจโลจิสติกส์ ที่เข้ามาตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ได้แบบตรงจุด และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 2020 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตสูงถึง 81% นับเป็นมูลค่า 294,000 ล้านบาทซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 220,000 ล้านบาท เนื่องมาจากโควิด-19 ที่ผลักดันให้คนไทยหันมาช้อปออนไลน์มากขึ้นจนกลายเป็นความเคยชิน

จากข้อมูลของไพรซ์ซ่าพบว่า ในปี 2020 มีสินค้าที่เข้ามายังตลาด E-Marketplace (โดยเฉพาะ Lazada  Shoppee  และ JD Central) กว่า 230 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นถึง 32% มีร้านค้า (ผู้ขาย) เพิ่มสูงขึ้นถึง 50% ปัจจุบันมีร้านค้าและแบรนด์ในตลาดอีมาร์เก็ต (นับบน LazMall และ ShopeeMall) สูงถึง 5,000 ร้านค้า

เมื่อเกิดการซื้อขายสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซมากขึ้น ธุรกิจการขนส่งพัสดุด่วนหรือโลจิสติกส์ก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ยอดจัดส่งพัสดุโดยรวมมีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 4 ล้านชิ้นต่อวัน จากรายงานในเซคชัน Industry Review ของ SCB Economic Intelligence Center เรื่อง “TRANSPORT & LOGISTICS 2020” ระบุชัดเจนว่า เทรนด์โลจิสติกส์ มีแนวโน้มทำให้ธุรกิจขนส่งพัสดุของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุด่วน จึงเป็นหนึ่งธุรกิจที่น่าลงทุนที่สุดในขณะนี้ เพราะตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยยังถือเป็นช่วงเริ่มต้นถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยอ้างอิงผลวิจัยด้านเศรษฐกิจดิจิทัล “เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2563 (e-Conomy SEA 2020)” โดยทีมวิจัย Google, Temasek และ Bain & Company เผยแพร่ผลประเมินมูลค่าเศรษฐกิจการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า ระบุว่า อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด

BEST Express (เบสท์ เอ็กซ์เพรส) ผู้ให้บริการ รับ – ส่ง พัสดุทั่วไทย บริษัทขนส่งพัสดุด่วนเอกชนหนึ่งในห้าแถวหน้าของประเทศ ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นขนส่งพัสดุด่วนเจ้าแรก และเจ้าเดียวในประเทศไทยที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการในพื้นที่เปิดแฟรนไชส์ 100% มีเครือข่ายสาขามากกว่า 800 สาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย และจะเพิ่มเป็น 2,000 สาขา ในปี 2022

สำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจเป็นแฟรนไชส์หลัก (First Franchise) ต้องจดทะเบียนเป็นรูปแบบ บริษัท จำกัด โดยมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาทขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับพื้นที่และจำนวนประชากร) และหน้าสาขาต้องมีพื้นที่ 100 – 1,000 ตารางเมตร หรือเป็นตึกแถว 1-2 คูหา จนถึงต้องมีโกดังไว้คัดแยกพัสดุในการรับเข้าและจัดส่งอยู่ที่ 50 ตารางเมตร โดยมีค่าเข้าร่วมสมาชิกหรือค่าแฟรนไชส์ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

● ค่าแฟรนไชส์ จะเก็บค่าเข้าร่วมเพียงครั้งเดียว

● ค่าประกันความเสี่ยง ประกอบไปด้วย การตรวจสอบ ค่าค้ำประกัน ค่าการันตี และเงินมัดจำ โดยทั้งหมดนี้ ทาง BEST Express จะคืนให้หลังยกเลิกสัญญา

● ค่าประกันตกแต่งร้าน โดยจะคืนเงินให้หลังผ่านการตรวจสอบว่าผ่านตามมาตรฐานการตกแต่งของ BEST Express แล้ว

เหตุผลที่ทำให้แฟรนไชส์ BEST Express เป็นแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุด่วนที่มั่นคงที่สุดของประเทศ

1. แฟรนไชส์หลักจะได้รับเปอร์เซ็นต์ทั้งขารับและขาส่ง

2. BEST Express ให้กรรมสิทธิ์แฟรนไชส์หลัก 100% ในการขายแฟรนไชส์ประเภท Sub-Franchise (แฟรนไชส์รอง) Shop (หน้าร้าน) และ Drop Point (จุดรับพัสดุ) ในพื้นที่ที่แฟรนไชส์หลักดูแลอยู่

3. ตัวแทน BEST Express เติบโตในระยะยาวตั้งแต่ 6 เดือน – 2 ปี โดยระยะเวลาการเติบโตขึ้นอยู่กับทักษะหลายด้าน คือ ประสบการณ์บริหารงานและการจัดการ การตลาด การเอาตัวรอดทันต่อกระแสตลาดอีคอมเมิร์ช และการทุ่มเทให้เวลากับธุรกิจ

4. มีโอกาสร่วมงานกับเครือข่ายนักลงทุน เพื่อช่วยพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร ครอบคลุมทั้งไทยและ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

5. BEST Express สนับสนุนด้านการฝึกอบรมธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ BEST Express ยังได้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามามีส่วนช่วยในการจัดการระบบโลจิสติกส์เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งมากขึ้น เช่น บริการ BEST2D Booking (บริการเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้านฟรีไม่มีขั้นต่ำ), บริการ BEST Tracking Alert (บริการแจ้งเตือนสถานะพัสดุอัตโนมัติผ่าน LINE Official Account) และ BEST Express Application (การให้บริการผ่านแอปพลิเคชันบนแฟลตฟอร์มมือถือทั้งระบบ iOS และ Android) เป็นต้น

แถมยังมีซุปตาร์ตัวพ่อของวงการบันเทิงชื่อดังระดับประเทศ คุณ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ร่วมกับมาสคอต (Mascot) “น้องกวางเบสท์” หรือ Dear (De ตี้ – Ar เอ๋อ) ซึ่งเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของแบรนด์คู่กับพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเสริมจุดแข็งสร้างความแกร่งให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์มากขึ้น