มัดตราสัง “รถทัวร์ 2 ชั้น” หรือแค่วาทกรรม…ล้อมคอก?

0
519

แนวทางแก้ไขปัญหารถทัวร์ 2 ชั้นของภาครัฐยังถูกสังคมตีแสกหน้ามาตลอดว่า “แก้ไม่ถูกจุด-เกาไม่ถูกที่คัน” บ้างก็ว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบ “ฉาบฉวย” ยังไม่สะเด็ดน้ำกับทุกแนวทางแก้ปัญหา จะเป็นข่าวคึกโคมก็ต่อเมื่อรถทัวร์มรณะ 2 ชั้นแหกโค้งพุ่งชนต้นไม้กลายเป็น “โศกนาฏกรรมหมู่”เท่านั้นแหล่ะ ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงคมนาคมก็จะได้ฤกษ์ออกโรงจ้อข่าวหน้าทีวี-ลงพื้นที่พลางตีปี๊ปแนวทางแก้ปัญหา หลังจากนั้นก็เข้าอีหรอบเดิม “เงียบเป็นเป่าสากฝังครก”

ล่าสุด ความคืบหน้าในการแก้ปัญหาดังกล่าว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย(สปข.)พร้อมคณะกรรมการสมาคมฯตบเท้าเข้าหารือกับท่านรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ”ในหัวข้อ “อนาคตรถโดยสาร 2 ชั้นประเทศไทย” พร้อมนำเสนอแนวทางแก้ปัญหา

นายกฯสปข.วอนรัฐสนับสนุน “บุคลากร”

คุณทนงพันธ์ สุทธิพงษ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.) เปิดเผยว่า การเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร 2 ชั้นที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญมาจากพนักงานขับรถ ซึ่งที่ผ่านมา ทางผู้ประกอบการก็ได้ให้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารมาตลอด แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่อง “บุคลากร” ทางภาครัฐยังไม่สนับสนุนที่มากพอ

ดร.วสุเชษฐ์ ลั่น “ติดตั้ง GPS”…ไม่ใช่เพื่อเรียกใบสั่ง!

ด้าน ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร ที่ปรึกษาสมาคมฯ และหัวหน้าคณะทำงาน กล่าวว่า สมาคมฯ และหน่วยงานภาครัฐทั้งกระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบก เรามีเป้าหมายเดียวกัน คือประชาชนต้องเดินทางด้วยความปลอดภัย ปัจจุบันมีรถโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวในระบบประมาณกว่า 10,000 คัน เรามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันตลอด โดยเฉพาะเรื่องการติดตั้ง GPS สมาคมฯ เป็นผู้นำเสนอหน่วยงานภาครัฐให้นำมาบังคับใช้เพื่อป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ

“จุดประสงค์การติดตั้ง GPS เพื่อช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ใช่ติดตั้ง GPS เพื่อเรียกใบสั่ง อีกทั้งสมาคมฯยังมีการนำเสนอเรื่อง Speed Limit การแจ้งเตือนหากมีความเร็วเกินกำหนด ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์ต่อผู้โดยสาร”

ขอสมาคมฯมีส่วนร่วมออกใบอนุญาต ป้องกันต่างชาติกินรวบ

นอกจากนี้ ดร.วสุเชษฐ์ ระบุอีกว่าในส่วนรถโดยสาร 2 ชั้นปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5,000 – 7,000 คัน ผู้ประกอบการมีการปรับปรุงสภาพรถ รวมถึงการทดสอบลาดเอียง ตามที่กรมการขนส่งทางบกแจ้ง แต่ปัญหาตอนนี้ คือรถที่อยู่ในระหว่างการประกอบกำลังเกิด “สุญญากาศ” หาทางออกไม่ได้ เป็นปัญหาที่ทางสมาคมฯ จะต้องขอเข้าหารือว่าจะมีกฎเกณฑ์อย่างไรที่ผู้ประกอบการสามารถอยู่ได้บนความเป็นไปได้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เพราะหากจะมีการปรับเป็นรถชั้นเดียวต้องใช้งบประมาณเฉลี่ยคันละ 1,500,000 บาท สิ่งสำคัญคืออู่ต่อตัวถังในประเทศไทยไม่สามารถรองรับตามระยะเวลาที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้ได้

“สิ่งที่อยากฝากถึงคือการขอใบอนุญาตประกอบการ อยากให้ภาครัฐเข้มงวดมากขึ้น และอยากนำเสนอให้สมาคมฯ เข้าไปมีส่วนร่วมในการขอใบอนุญาต เพื่อป้องกันทุนต่างชาติเข้ามาครองตลาด ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาเช่นในอดีตที่ผ่านมา”

ชี้ รัฐแก้ปัญหา “เกาไม่ถูกที่คัน”

ขณะที่คุณสุริยะ แกล้วทนงค์ กรรมการสมาคมฯ นำเสนอเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการลงทุนมหาศาลตามนโยบายภาครัฐ ที่มีการประกาศออกมา แต่อุบัติเหตุยังคงเกิดขึ้นทุกปี นั่นหมายความว่า เรายังแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ถ้าหากมีการยกเลิกรถโดยสาร 2 ชั้น ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุกับรถชั้นเดียวอีก ซึ่งมันจะเป็นเพียงแต่เปลี่ยนอุบัติเหตุมาจากรถโดยสาร 2 ชั้นมาเป็นชั้นเดียว ดังนั้นในระยะเวลาช่วงนี้อยากให้ผู้ที่มีรถโดยสาร 2 ชั้นได้มีโอกาสนำรถออกมาทำมาหากินเท่านั้น

“อาคม” แนะผู้ประกอบการต้องปรับตัว

ขณะที่คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง สิ่งที่นำมาคำนวณหาสาเหตุคือ “ถนน- คน- รถ” แต่ผมจะเพิ่มเรื่องสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในพื้นที่เข้าไปด้วย เช่น การตัดต้นไม้เพื่อเปิดทางให้ทัศนวิสัยดีขึ้น เป็นต้น หน่วยงานที่รับผิดชอบจะไม่ได้พุ่งเป้าไปที่คนก่อน เพราะเราต้องดูแลในส่วนที่รับผิดชอบ เช่น การซ่อมแซมถนน เข้มงวดเรื่องของอุปกรณ์ส่วนควบที่มีการบังคับใช้ รถที่เกิดเหตุหลายรายไม่เข้ารับการตรวจสภาพตามที่กำหนด บางรายมีการตัดสัญญาณ GPS ปัญหาเหล่านี้ผู้ประกอบการอาจจะต้องช่วยกำชับดูแล

“ในส่วนอนาคตนั้น แน่นอนอยากให้ผู้ประกอบและประชาชนได้ใช้รถใหม่ อีกอย่างจะมีรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่เข้ามา ถามว่ารถโดยสารยังคงมีผู้ใช้หรือไม่ คำตอบคือมี แต่แน่นอนว่าผู้ประกอบการต้องเตรียมปรับตัว ในส่วนของแนวทางเรื่องรถโดยสาร 2 ชั้นนั้น ทางกระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งฯ รับปากจะเข้าไปดูแล โดยจะเริ่มจากการประชาสัมพันธ์สร้างความมั่นใจถึงความปลอดภัย มุ่งเน้นไปในทิศทางเดียวกันคือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน”

ท้ายที่สุดแล้ว ข้อเสนอแนะจากการหารือครั้งนี้จะถูกนำไปต่อยอดสู่การแก้ปัญหา win win ทั้งสองฝ่ายอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้เงียบงายไปกับสายลมเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา

มิเช่นนั้นมันก็แค่…มหกรรมปาหี่เท่านั้น!