กับเรื่องของการขยายสัญญาสัมปทานหรือต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว  30 ปี ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ของ  กรุงเทพมหานคร (กทม.) และกระทรวงมหาดไทย  ที่ถูกกระทรวงคมนาคมกระตุกเบรกหัวทิ่ม เพราะจัดทำความเห็นทัดทานแบบ  “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ทำเอา พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือ มท.1 ถึงกับ “หัวร้อน” ขึ้นมาทีเดียว!
แม้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม   จะยืนยันข้อโต้แย้งของกระทรวงคมนาคมที่ทำความเห็นคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทานให้แก่รถไฟฟ้า  BTS ครั้งนี้ ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแอบแฝง  แต่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือกัน   แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ “เหตุใดกระทรวงคมนาคมถึงได้จัดทำความเห็นในเรื่องนี้  ถึง 3 Papers ซึ่งแต่ละเปเปอร์ที่ส่งไปยัง กทม.  และคณะทำงานนั้นก็แตกต่างกันลิบลับ”..
แม้ก่อนหน้านี้  พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  จะเรียกทั้งสองฝ่ายมาหารือกันเพื่อให้ได้ข้อยุติ  แต่ก็ยังไม่สามารถจะสยบศึกร้าวลึกนี้ลงได้!
โดยประเด็นสำคัญที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ก็คือ  เรื่องของราคาค่าโดยสาร ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดย กทม. กำหนดไว้ไม่เกิน 65  บาทตลอดสาย (68.2 กม.) ขณะที่กระทรวงคมนาคมโดยกรมขนส่งทางรางเห็นว่า  ยังเป็นราคาที่สูงเกินไป น่าจะยังเจรจาต่อรองลงมาได้อีก  พร้อมทั้งเกทับบลั๊ฟแหลกว่า อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินที่ BEM  ให้บริการอยู่ภายในการกำกับของกระทรวงคมนาคมนั้นต่ำกว่าเข้าไปอีก
ล่าสุด  คณะกรรมาธิการ (กรธ.) คมนาคม ที่มีนายโสภณ ซารัมย์ อดีต รมว.คมนาคม  เป็นประธาน กรธ.  ก็กระโดดเข้ามาร่วมวงไพบูลย์เขย่าติ้วการขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายนี้ด้วย  จึงทำให้ทุกฝ่ายจับตาไม่กระพริบ เส้นทางการขยายสัญญาสัมปทานจะจบลงอย่างไร  และโดยเฉพาะมีการวิเคราะห์กันต่อไปด้วยว่า กระทรวงคมนาคม  กำลังจับเอาโครงการนี้เป็นเครื่องต่อรอง เพื่อบีบกลุ่ม BTS  ให้รามือจากการประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ รฟม.กำลังโม้แป้งอยู่
นายโสภณ  ซารัมย์ ประธาน คณะกรรมาธิการคมนาคม (กมธ.คมนาคม) กล่าวถึงกรณีที่  กรธ.ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจัดทำข้อมูลกรณีการต่อสัญญาสัมปทาน  รถไฟฟ้าสายสีเขียว 30 ปี เสนอกลับมายัง กรธ.ว่า ทาง กรธ.  ไม่ได้ต้องการจ้องจับผิดหน่วยงานใด  เป็นเพียงการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น  
ทั้งนี้ สิ่งที่ กรธ.ติดใจมี 3 ประเด็นด้วยกัน คือ..
1. เหตุใดจึงต้องเร่งพิจารณาต่อสัญญาณกันในช่วงนี้ ทั้งที่ยังมีเวลาจนถึงปี 2572
2. ที่มีของการคำนวณค่าโดยสารตลอดสายสูงสุด ไม่เกิน 65 บาทนั้น มีที่มาอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ แม้ กทม.จะได้ชี้แจงต่อ กรธ.แล้ว แต่ยังไม่ชัดเจน จึงได้ให้ไปจัดทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรกลับมาอีกครั้ง
และ  3. ประเด็นความครบถ้วนตามมติ ครม.เมื่อปี 2561  ซึ่งหากข้อมูลที่ชี้แจงมามีความกระจ่างเพียงพอก็จบไป  ทางกรรมาธิการก็คงรายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป  แต่หากยังไม่กระจ่างก็ต้องว่ากันไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่
ด้าน นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า  หากรับฟังข้อมูลของ กทม.ที่ออกมายอมรับก่อนหน้านี้ว่า  ขาดสภาพคล่องไม่สามารถจะแบกรับภาระหนี้จากการก่อสร้างที่มีรวมกันกว่า  84,000 ล้าน มีภาระดอกเบี้ยอีกปีละกว่า 1,500 ล้าน  และค่าจ้างเดินรถอีกปีละกว่า 5,000 ล้าน ทำให้  กทม.ไม่มีทางเลือกจึงต้องเร่งพิจารณาต่อสัญญาให้เอกชนรับโครงการออกไปบริหารจัดการ   
ส่วนเรื่องของค่าโดยสารที่กำหนดไว้สูงสุดไม่เกิน  65 บาทนั้น หากคำนวณตามสูตรที่กระทรวงคมนาคมกำหนดไว้ คือ ค่าแรกเข้า 15  บาท บวกค่าโดยสาร กม.ละ 3 บาทแล้ว ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะสูงถึง 158  บาท  แต่ในการเจรจาเพื่อต่อสัญญาสัมปทานที่จะมีขึ้นกทม.ได้เจรจาปรับลดค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน  65 บาท ซึ่งอัตราดังกล่าวเทียบกับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินของ  รฟม.ที่จัดเก็บอยู่ 44 บาทต่อการให้บริการระยะทาง 26 กม.นั้น 
เห็นได้ว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้า  สายสีเขียวยังต่ำกว่ามากทั้งที่เอกชนเป็นผู้แบกรับภาระลงทุนเอง นอกจากนี้  ยังกำหนดให้ BTS ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้กับกทม.ตลอดสัญญาอีก 200,000  ล้านขณะที่สายสีน้ำเงิน ไม่มีการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ใด ๆ คืนให้รัฐ   
“แน่นอนหากพิจารณาทางเลือกต่างๆ  ที่มีอยู่เวลานี้   หากรัฐบาลและกระทรวงการคลังสามารถจัดหาแหล่งเงินทุนให้กับ  กทม.ได้เพื่อนำไปจ่ายหนี้ค่างและว่าจ้างการเดินรถได้  คงไม่มีปัญหาสามารถยื้อการขยายสัญญาสัมปทานหรือดึงโครงการนี้มาเป็นของรัฐเลยโดยตรงก็ย่อมได้  แต่เมื่อพิจารณาทางเลือกและข้อจำกัดต่างๆ ที่มี่แล้ว  การต่อขยายสัญญาสัมปทานในเวลานี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้”
กับจุดยืนและเหตุผลของกระทรวงคมนาคม  ที่ออกมาทักท้วงการขยายสัญญา  และเกทับบลั๊ฟแหลกว่าอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินของ BEM  ที่ให้บริการอยู่ต่ำกว่า แต่เนื้อแท้ที่กระทรวงคมนาคม และ รฟม.  ไม่ได้กล่าวถึงเลยก็คือ มูลเหตุที่ทำให้ BEM  จัดเก็บค่าโดยสารได้ต่ำในเวลานี้  เพราะรัฐได้เข้าไปแบกรับภาระค่าลงทุนส่วนงาน Civil work  และค่าเวนคืนแทนเอกชนทั้งหมด เอกชนเพียงแต่ลงทุนตัวระบบรถไฟฟ้าแค่ 20-30%  ของมูลค่าลงทุนเท่านั้น  แต่กระนั้นหากเปรียบเทียบค่าโดยสารปลายทางที่ออกมาแล้วค่าโดยสารรถไฟฟ้า  สายสีน้ำเงิน ไม่ได้ต่ำกว่าแต่อย่างใด แถมยังจะสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ
เมื่อเจอย้อนศรประเด็นเหล่านี้   ดูเหมือนกระทรวงคมนาคมจะยังคงไม่ยอมรามือ และยังคงดั้นเมฆจะลากเอา  โครงการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสนี้ ไปพันตูอยู่กับการประมูลรถไฟฟ้า  สายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี ระยะทาง 35.9 กม.วงเงินลงทุนกว่า 1.42  แสนล้านบาทที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)กำลังโม่แป้งอยู่  
แม้ก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลางจะมีคำสั่งคุ้มครองและทุเลาการบังคับใช้เกณฑ์การประมูลสุดอื้อฉาวของ  รฟม. ที่ลุกขึ้นมาปรับรื้อเกณฑ์คัดเลือกกลางอากาศ  หลังจากขายซองประมูลไปกว่า 2 เดือน  แต่กระนั้น รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกฯ  ก็ยังคง “ดั้นเมฆ” จะใช้เกณฑ์ประมูลดังกล่าวอย่างไม่ลดละ   โดยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองและทุเลาการบังคับหลักเกณฑ์ประมูลอื้อฉาวดังกล่าว
แต่จนแล้วจนรอด ศาลปกครองสูงสุดก็ยังไม่มีคำสั่งใด ๆ ลงมาจนกระทั่งวันนี้
สิ่งที่ทุกฝ่ายได้แต่ “อึ้งกิมกี่” กับพฤติกรรม “ลับ ลวง พราง”  ของ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 ก็คือ ขณะที่ รฟม.  และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ขอเลื่อนการยื่นคำชี้แจงต่อศาลปกครองกลางถึงไปถึง 2  ครั้ง โดยครั้งแรกเลื่อนยื่นคำชี้แจงไป 28 พ.ย. 63 และครั้งที่ 2  ขอเลื่อนไปเป็น 15 ธ.ค. 63 แต่ในอีกด้าน  รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกกลับดอดไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองและทุเลาการบังคับใช้เกณฑ์พิจารณาคัดเลือกใหม่ดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด   ด้วยข้ออ้าง “เป็นโครงการเร่งด่วน  ไม่สามารถรอฟังคำขี้ขาดของศาลปกครองกลาง” ได้ 
จนทำให้ทุกฝ่าย ได้แต่ตั้งข้อกังขาว่า ตกลงโครงการนี้ เป็นโครงการเร่งด่วนดั่งที่ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือก ยืนยันแน่หรือ? 
เพราะหากเป็นโครงการเร่งด่วนจริง  เหตุใด รฟม.ถึงไม่เร่งยื่นคำชี้แจงเหตุผล  ความจำเป็นในการรื้อเกณฑ์คัดเลือก  เพื่อที่ศาลปกครองจะได้เร่งพิจารณาชี้ขาดลงมา  หรือหากอยากพิสูจน์ว่าอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเปรียบเทียบที่เป็นจริงควรเป็นเท่าไหร่นั้น  ก็น่าจะมาพิสูจน์กันที่การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มนี้กันไปเลย  
จะไปปรับเปลี่ยนรื้อหลักเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกให้ยุ่งขิงทำไมกัน  เหตุใดจึงไม่ประมูลไปตามหลักเกณฑ์เดิมเพื่อเปิดทางให้ทั้ง BTS และ BEM  ได้ขับเคี่ยวและสู้กันบนพื้นฐานเดียวกันเพื่อที่ทุกฝ่ายจะได้กระจ่างว่า  ราคาค่าโดยสารของ BEM ต่ำกว่า BTS จริงหรือไม่
หรือกลัวว่าไอ้ที่ ”หมกเม็ดกันไว้ไต้พรม” จะโผล่ออกมาฟ้องหัวเอา จริงหรือไม่จริง ฯพณ ท่าน รมต.ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่เคารพ!
        




































