“พิพัฒน์”เดินหน้าปฏิรูป ขสมก. ดันรถเมล์ไฟฟ้าลดต้นทุนกว่า 70% – เพิ่มเส้นทางเชื่อมรถไฟฟ้า เร่งยกระดับบริการให้ประชาชนเดินทางสะดวก ปลอดภัย และค่าใช้จ่ายลดลง
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) เข้าพบเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง พร้อมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยเน้นเป้าหมายสำคัญ คือ “ยกระดับบริการรถเมล์ให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และในราคาที่เข้าถึงได้จริง” โดยมีนายนริศ ขำนุรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายปัญญา ชูพานิช รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายวิโรจน์ แหวนทองคำ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร ขสมก. ผู้แทนกรมการขนส่งทางบก และนายประมิต เมฆฉาย ประธาน สร.ขสมก. เข้าร่วม ในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ขสมก. มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ปัญหาที่สะสมมายาวนาน ทั้งการขาดทุน รถไม่เพียงพอ ค่าเช่าอู่สูง และต้นทุนเชื้อเพลิง ทำให้การให้บริการไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร รัฐบาลจึงต้องเร่งปฏิรูปอย่างจริงจังเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้นโดยเร็วที่สุด หนึ่งในมาตรการสำคัญคือ โครงการจัดหารถโดยสารประจำทางปรับอากาศใช้พลังงานสะอาด (EV) ชุดใหม่ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดค่าเชื้อเพลิงและค่าซ่อมบำรุงได้กว่า 70% ส่งผลให้ต้นทุนการเดินรถลดลงอย่างมาก สามารถนำทรัพยากรกลับมาพัฒนาบริการ เพิ่มความถี่ของรถ ลดเวลารอ และทำให้ระบบขนส่งมวลชนสะอาดปลอดมลพิษมากยิ่งขึ้น “เมื่อรถเมล์ใหม่เริ่มวิ่ง ประชาชนจะสัมผัสได้ทันทีว่ารถมาถี่ขึ้น นั่งสบายกว่าเดิม และมั่นใจในความปลอดภัยได้มากขึ้น”
ด้านเส้นทางเดินรถ นายพิพัฒน์มอบนโยบายให้ ขสมก. ปรับปรุงและเปิดเส้นทางใหม่ ให้เชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้าที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งโครงข่าย และระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนเดินทางแบบไร้รอยต่อ ลดการต่อรถหลายรอบ และลดค่าใช้จ่ายรวมทั้งวัน “รถเมล์ต้องเป็นตัวเชื่อมระบบรางอย่างแท้จริง เพื่อให้การเดินทางของประชาชนสะดวกและประหยัดที่สุด” ส่วนประเด็นพื้นที่อู่และต้นทุนค่าเช่า ซึ่งเป็นภาระสำคัญของ ขสมก. นายพิพัฒน์ระบุว่า รัฐบาลจะเร่งศึกษาทางออก ทั้งการจัดหาที่ดินของรัฐสำหรับเป็นอู่รถระยะยาว หรือการจัดสรรงบลงทุนเพื่อให้ ขสมก. มีทรัพย์สินของตนเอง ลดการพึ่งพาการเช่าพื้นที่ราคาแพงจากภาคเอกชน “เมื่อมีอู่ของตัวเอง ขสมก. จะสามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น และนำพื้นที่บางส่วนไปสร้างรายได้เสริม ซึ่งท้ายที่สุดก็กลับมาช่วยลดภาระของประชาชน” นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ได้เน้นย้ำให้ ขสมก. ต้องพิจารณามาตรการหารายได้ด้วยตนเองควบคู่กับการขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ และการปรับบริการให้ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น เพื่อให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและลดการขาดทุนในระยะยาว
“สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุด คือประชาชนต้องเดินทางได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น การแก้ไขปัญหา ขสมก. ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ปรับโครงสร้างองค์กร แต่คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนที่ต้องใช้รถเมล์ เราจะเดินตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนของไทยดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย






































