“วี.คาร์โก”สั่งซื้อ’ยูดี โครเนอร์ 16 คัน’เสริมศักยภาพธุรกิจขนส่ง-ขานรับอีคอมเมิร์ซบูม

0
933

กลุ่มบริษัท วี. คาร์โก ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร สั่งซื้อรถบรรทุกยูดี โครเนอร์ 16 คันรองรับแผนขยายงานขนส่ง พร้อมเตรียมสั่งเพิ่มอีก 16 คันหวังเสริมศักยภาพธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมาย 25% ในปีนี้ ชี้ยูดี โครเนอร์ ตอบโจทย์งานขนส่งคุณภาพสูง ย้ำเป็นรถบรรทุกที่ทนทาน-ล้ำเทคโนโลยี

นายอุดม ศรีสงคราม กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท วี.คาร์โก เปิดเผยว่าจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจการค้าออนไลน์และสินค้าในตลาดโมเดิร์นเทรดในระยะหลายปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มบริษัทวี.คาร์โก มีอัตราการเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปีที่แล้วมียอดรายได้แตะระดับ 1,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราการเจริญเติบโตจะยังคงต่อเนื่องต่อในปีนี้อีกไม่ต่ำกว่า 25%

“กลุ่มบริษัท วี.คาร์โก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2531 จนถึงขณะนี้ มีบริษัทในเครือทั้งสิ้น 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท วี.คาร์โก จำกัด บริษัท วี.คาร์โก้แอนด์ซัพพลาย จำกัด บริษัท ยูพีเอสอาร์ โลจิสติกส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด และบริษัท ไทยรุ่งพัฒนาขนส่ง จำกัด โดยให้บริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจร ได้แก่ การขนส่งสินค้า ชิปปิ้ง การดำเนินการด้านศุลกากร การขนส่งสินค้าผ่านแดน โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจที่ให้บริการเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ธุรกิจขนส่งโมเดิร์นเทรด การขนส่งทั่วไป และธุรกิจ E-commerce โดย 85% ของรายได้มาจากธุรกิจการขนส่ง 10% จากการให้บริการชิปปิ้ง และ 5% มาจากการให้บริการคลังสินค้า”

นายอุดม กล่าวว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้รับมอบรถบรรทุกยูดี โครเนอร์ ซึ่งเป็นรถบรรทุกขนาดกลางจำนวน 16 คันและอาจจะมีแผนเพิ่มเติม เพื่อรองรับแผนขยายงานของกลุ่ม วี.คาร์โก สาเหตุที่เราตัดสินใจเลือกยูดี โครเนอร์ เพราะตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเรา ธุรกิจหลักของเราคือการขนส่งที่มีคุณภาพสูง เราจึงต้องการรถบรรทุกที่ทนทาน และมีความไฮเทคในตัวรถด้วย ซึ่งมันมีอยู่ในรถโครเนอร์”

นอกจากนี้ นายอุดม เปิดเผยถึงช่วงการก่อตั้งบริษัทฯว่าเป็นช่วงที่ธุรกิจขนส่งซึ่งปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นธุรกิจโลจิสติกส์ และกำลังเติบโตอย่างมาก ดังนั้นกลุ่ม วี.คาร์โก จึงได้ปรับแนวธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะเริ่มต้น การให้บริการชิปปิ้ง เป็นธุรกิจหลัก แต่ต่อมาธุรกิจโมเดิร์นเทรดและร้านสะดวกซื้อเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้แนวธุรกิจของกลุ่มฯ จำเป็นต้องปรับตามสภาพความเป็นจริง ประกอบกับผู้ให้บริการด้านการขนส่งเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น

“เรากลับมองว่าการแข่งขันนี่แหละเป็นจุดเปลี่ยนธุรกิจของกลุ่มเพราะหากเราสามารถปรับตัวได้ และรักษาคุณภาพการให้บริการที่ดีให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เราน่าจะเติบโตได้มากกว่าตลาด นี่คือที่มาของการปรับตัวของเราเพื่อให้เราเติบโตได้ และวันนี้เราน่าจะเรียกว่าประสบความสำเร็จมาระดับหนึ่งที่สามารถยืนอยู่บนธุรกิจนี้ได้ด้วยยอดรายได้เมื่อปีที่แล้วที่แตะระดับหนึ่งพันล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจมาก”

ถึงกระนั้น นายอุดม ยังสะท้อนถึงแผนงานการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม วี.คาร์โกว่า ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้กลุ่ม วี.คาร์โก ได้เตรียมความพร้อมที่จะขยายธุรกิจให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า E-commerce ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าจับตามองและมีแนวโน้มเติบโตสูง จึงทำให้กลุ่ม วี.คาร์โก เตรียมขยายจุดให้บริการคลังสินค้าเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่ 10 จุดมาเป็น 12 จุด ด้วยงบประมาณการลงทุน 240 ล้านบาท

“ปัจจุบันศูนย์บริการคลังสินค้า ตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 3 แห่งที่อุบลราชธานี อุดรธานีและนครราชสีมา ภาคเหนือ 3 จุด ที่จังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์และเชียงใหม่ และภาคใต้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี หาดใหญ่และภูเก็ต ส่วนภาคกลางตั้งอยู่ย่านถนนบางนา-ตราด ส่วนที่จะขยายเพิ่มเติมจะเป็นพื้นที่ขนาด 5,000 ตารางเมตรต่อแห่งที่วังน้อย จังหวัดอยุธยา และจังหวัดขอนแก่น ด้วยงบประมาณการลงทุนแห่งละ 120 ล้านบาท”

อีกทั้งการที่เราขยายแวร์เฮ้าส์ออกไปก็เพื่อรองรับธุรกิจดาวรุ่งคือ E-commerce ซึ่งขณะนี้เราเองได้ติดต่อผู้ให้บริการ E-commerce ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศหลายราย แต่ละรายอยู่ระหว่างการเจรจาและมีแนวโน้มที่ดีเพราะเราเองมีเครือข่ายและประสบการณ์การทำงานให้กลุ่มร้านสะดวกซื้อและโมเดิร์นเทรดมาเป็นเวลายาวนาน จนได้รับการยอมรับในด้านบริการและคุณภาพ

นายชัยยศ ศรีสงคราม และนายอุดม ศรีสงคราม

อย่างไรก็ดี นายอุดม กล่าวปิดท้ายว่าขณะนี้การบริหารภายในองค์กรกำลังพัฒนาองค์กรเพื่อส่งมอบธุรกิจให้แก่ทายาทรุ่นที่ 2 ที่มีนายชัยยศ ศรีสงคราม เป็นผู้นำองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทางด้านการขนส่งให้แก่กลุ่มธุรกิจที่จะมีบทบาทสูงต่อสังคมไทย โดยเฉพาะธุรกิจภาค E-commerce รวมไปถึงการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างกลุ่มประเทศ CLMV

“ผมพยายามผลักดันคนรุ่นใหม่ขึ้นมาเพื่อให้คู่ค้าธุรกิจของเรามั่นใจว่าเขากำลังคุยกับคนรุ่นใหม่ที่จะมาพัฒนาองค์กรของเราให้เติบโตต่อไปในอนาคตควบคู่ไปกับธุรกิจคู่ค้าของเรา โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าข้ามแดนที่เราเองก็มีพันธมิตรรองรับอยู่แล้ว ดังนั้น ทันทีที่เราได้รับใบอนุญาตประกอบการ เราก็พร้อมทันทีที่จะเริ่มให้บริการแก่ลูกค้าของเราทั้งในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในกลุ่ม CLMV”