“ศักดิ์สยาม”คิดไกล.!ปักหมุดทลฉ.ติดอันดับ“World Class Port “ ปี’68

0
108

“ศักดิ์สยาม”สั่งการท่าเรือปักหมุดขึ้นชั้น 1ใน 9 ท่าเรือระดับโลก “World Class Port”ในปี 68 จ่อเสนอ ครม.ภายในสิ้นปี 65 จัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ผุด 3 บริษัทเดินเรือ “ในประเทศ-อีสต์-เวสต์”รองรับท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3-แลนด์บริดจ์ หวังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งทางน้ำของภูมิภาคอาเซียนและโลก

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) ว่า จากนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการพัฒนาโลจิสติกส์ทุกรูปแบบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะโลจิสติกส์ทางน้ำที่เป็นการขนส่งที่มีต้นทุนต่ำนั้น ตนจึงได้มอบนโยบายให้ กทท. เร่งรัดโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 และการนำระบบท่าเรืออัตโนมัติ (Port Automation) มาใช้ในการปฏิบัติงานและการให้บริการ เพื่อให้เกิดความแน่นอนและแม่นยำในการวางแผนบรรทุกและการขนถ่ายสินค้า อำนวยความสะดวกในการบริหารพื้นที่หลังท่า โดย กทท. ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนดในปี 68 เพื่อส่งเสริมศักยภาพของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ขณะเดียวกันให้ กทท. และ กรมเจ้าท่า(จท.)เร่งรัดผลักดันให้มีการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติในรูปแบบ บริษัท 3 บริษัท สายการเดินเรือในประเทศ (Domestic) ,และสายการเดินเรือต่างประเทศ (International)ซึ่งจะมี 2 บริษัทคือ บริษัท สายการเดินเรือต่างประเทศฝั่งตะวันออก และ บริษัท สายการเดินเรือต่างประเทศฝั่งตะวันตก ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเสนอต่อ ครม. ได้ไม่เกินสิ้นปี 65 นี้ โดยหว่าว่าเมื่อจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติจะส่งเสริมและพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางน้ำ ลดต้นทุนการขนส่งโลจิสติกส์ สนับสนุนการส่งออกและนำเข้า เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยกองเรือไทย รวมทั้งลดการขาดดุลบริการด้านค่าระวางเรือ และเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับกองเรือไทย

นอกจากนั้นให้เร่งรัดดำเนินการในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน(แลนด์บริดจ์) ซึ่งขั้นตอนขณะนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ได้ทำการศึกษาอยู่ และตามนโยบายกระทรวงคมนาคม ภายในปี 72 โครงการแลนด์บริดจ์ จะเห็นเป็นรูปธรรม โดยมั่นใจว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะช่วยพัฒนาท่าเรือทั้ง 2 ฝั่งทะเล ให้เชื่อมต่อระบบการขนส่งอื่นอย่างไร้รอยต่อ ช่วยลดเวลา ต้นทุนการขนส่งสินค้าทางน้ำ และคน ประกอบกับแลนด์บริดจ์จะดึงให้ผู้ประกอบการจากทั่วโลกหันมาใช้เส้นทางแลนด์บริดจ์เชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกแทนเส้นทางการค้าเดิม คือช่องแคบมะละกา และจากการศึกษายังพบว่าปัจจุบันช่องแคบมะละกามีเรือขนส่งผ่านกว่า 80,000 ลำต่อปี และคาดว่าใน10ปีจะมีปริมาณมากถึง120,000 ลำต่อปี ซึ่งถือเป็นการจราจรที่หนาแน่นมาก ดังนั้นแลนด์บริดจ์จะเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งทางน้ำของภูมิภาคอาเซียนและโลก

“ปัจจุบัน กทท.ได้มีการปรับปรุงท่าเรือ และการบริการให้มีความทันสมัยในทุกๆท่าเรือ ทำให้สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าผ่านท่ารวมกว่า 9.8 ล้านทีอียู และหากท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 แล้วเสร็จในปี68 จะสามารถรองรับตู้ผ่านท่าได้รวมกว่า 18 ล้านทีอียู ดังนั้นจึงได้ให้นโยบาย กทท.ว่าจะต้องขึ้นอันดับ1 ใน 9 ท่าเรือระดับโลก หรือ world class portให้ได้เป็นเลขตัวเดียวภายในปี 68 จากปัจจุบันท่าเรือของ กทท. อยู่อันดับ 20 ของโลก”

ด้านนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม กล่าวว่า ได้มอบแนวทางการดำเนินงานให้กับ กทท. เพิ่มเติมให้ไปดูการบริหารจัดการท่าเรือที่ประสบภาวะการบริหารที่ขาดทุน เช่น ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนและท่าเรือระนองให้กลับมาได้กำไรอีกครั้ง โดยต้องช่วยกันบูรณาการหารือกับภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจาก ท่าเรือแหลมฉบัง(ทลฉ.) เข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อลดปัญหาจราจร และลดต้นทุนการขนส่งสินค้า

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)กล่าวว่า ได้รายงานสรุปแผนงานและโครงการที่สำคัญของ กทท. ในการมุ่งสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลก พร้อมบูรณาการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ทั้ง 6 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของท่าเรือ การพัฒนาธุรกิจและสินทรัพย์ การพัฒนาระบบบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน การพัฒนาสมรรถนะองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม การพัฒนาสมรรถนะองค์กรด้วยกระบวนงานทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาองค์กรอย่างมีส่วนร่วมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน