“วันนี้รัฐบาลกำลังส่งสัญญาแรงๆว่าประเทศไทยพร้อมแล้ว ส่วนการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นหลายสถาบันการศึกษาพร้อมแล้ว ”
นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินประกอบการสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินคลองอู่ตะเภา
อนึ่ง โครงการไฮสปีดเทรน ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติร่วมลงทุนใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักตามนโยบายรัฐบาล
ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)เปิดขายซองประมูลผลปรากฏว่า มีเอกชนรายใหญ่ซื้อซองประมูลทั้ง 7 ราย อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการดังกล่าวพัฒนาเต็มรูปแบบ หากไทยไม่ทำอะไรอาจจะเสียเปรียบต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเตรียมพัฒนาคนพัฒนาบุตลากร เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆที่จะเกิดในอนาคตกันใกล้นี้
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยกับ ในรายการ “จุดประกาย ขยายประเด็น” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 92.5 MHz. ถึงภาพรวมการเตรียมความพร้อมรองรับ “ไฮสปีดเทรน ”ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินไฮสปีดเทรน) และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า ขณะนี้ประเทศกำลังเดินหน้ากลายเป็นแหล่งการลงทุน ศูนย์กลางการเดินทาง การบิน และการขนส่งทางทะเล การเปิดประมูลไฮสปีดเทรนจะทำให้กำลังมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในประเทศไทยเหมือนกับประเทศพัฒนาแล้ว อย่างประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน เกาหลี เป็นต้น
“ วันนี้รัฐบาลกำลังส่งสัญญาแรงๆว่าประเทศไทยพร้อมแล้ว ส่วนการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นหลายสถาบันการศึกษาเราพร้อมแล้ว สมัยอดีตการพัฒนาระบบรางไม่มีความชัดเจน แม้จะมีความพยายามก็ตามมหาวิทยาลัยต่างๆไม่ค่อยตื่นตัวผลิตบุคลากรทางด้านนี้ หากแต่วันนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้วมีหลายมหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรเรื่อง การขนส่งทางราง ประกอบด้วย สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ราชมงคล และอีกหลายๆสถาบันร่วมเปิดหลักสูตรขนส่งทาง เพื่อผลิตบุคลากรทางด้านนี้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง ยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับระบบรางเพิ่มมากขึ้น”
เปิด 2 สาขาวิศวกรรมรถไฟความเร็วสูง
สำหรับหลักสูตรการศึกษาด้านการขนส่งรายละเอียดของหลักสูตร นักศึกษาได้เรียนรู้แบ่งเป็น 2 เรื่องหลัก นั่นคือ 1. เรื่องเกี่ยวกับการก่อสร้าง เป็นการบูรณาการเรียกว่า ด้านโยธา ระบบราง ระบบไฟฟ้า การขับเคลื่อนรถไฟ หรือเรียกว่า ด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน และ 2. เรื่องเกี่ยวกับการควบคุมหรือการควบคุมระบบอาณัติสัญญาณ การควบคุม การสื่อสารระหว่างสถานีกับรถไฟขณะวิ่งสวนกันไปมา ดังนั้น หลักสูตร 2 เรื่องจึงถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ซึ่งบุคลากรการขนส่งทางรางจะต้องเรียนรู้เป็นการเรียนรู้ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ล้วนๆ รถไฟความเร็วสูงจำเป็นต้องเรียนรู้บูรณาการหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องไฟฟ้า โยธา โทรคมนาคม รวมทั้งวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
“ ความจริงแล้ว สจล.เองมีความพร้อมเกี่ยวกับเรื่องไฮเทคโนโลยี อดีตต้องยอมรับว่า คนจบวิศวกรรมศาสตร์ แม้คนเรียนเก่ง มีความตั้งใจแค่ไหน แต่เรียนจบแล้วไม่มีงานรองรับ เช่น คนเรียนจบด้านรถไฟความเร็ววันนี้มีคนเรียนจบแล้ว แต่เอาเข้าจริงไม่มีงานรองรับ สุดท้ายต้องไปทำงานกับอุตสาหกรรมรถยนต์ อีกทั้ง ประเทศไทยไม่ใช่อุตสาหกรรมต้นน้ำไม่ได้ทำอะไรเป็นความติดเชิงสร้างสรรค์ เหมือนกับวิศวกรต่างประเทศจึงทำให้ประเทศไทยศูนย์เสียวิศวกรหัวกะทิ หากไม่เรียนต่อก็ต้องไปทำอาชีพเป็นนักการเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย
“หากแต่ด้วยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นเรื่องดีเป็นการส่งสัญญาณอย่างแรง วันนี้ประเทศไทยจะเป็นทำอะไรที่เป็นไอเทค จะพึ่งพาคนเองแล้ว จะไม่อยู่กับเศรษฐกิจที่ทำเยอะๆขายถูกๆ
แต่วันนี้จะทำอะไรที่มีความซับซ้อนและสามารถขายสินค้าให้ได้ราคาที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงทำให้วิศวกรที่เก่งสามารถมีงานทำไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยขั้นสูง การผลิตการออกแบบทางต้นน้ำ สิ่งต่างๆเหล่านี้มหาวิทยาลัยทั้งหมดตื่นตัวแล้ว ”
ตลาดแรงงานขนส่งขยายตัวสูง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ความต้องการบุคลากรขนส่งทางรางเริ่มต้องการมากในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา บีทีเอสขยายตัว รถไฟฟ้าใต้ดินกำลังขยายตัว รถไฟเองกำลังพัฒนาไปสู่รถไฟทางคู่ แอร์พอร์ตลิงค์กำลังต้องการคนมากขึ้น ทั้ง 3- 4 หน่วยงานแค่เพียงความต้องการก็ผลิตบุคลากรไม่ทันสำหรับวิศวกร แต่ยังไม่รวมถึงการออกแบบ และการควบคุมระบบอาณัติสัญญาณที่เรายังทำได้ไม่ดี หากแต่จะพูดถึงทำผลิตอะไหล่ หรือชิ้นส่วนบางอย่างยังต้องใช้เวลา
ส่วนการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยที่ประสบวิกฤต เนื่องจากจำนวนนักศึกษามีน้อยกว่าที่นั่งในมหาวิทยาลัย การเปลี่ยนของโลกยุดอินเทอร์เน็ต ใครก็ตามสามารถเรียนรู้ออนไลน์ได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นการกระตุ้นเตือนให้มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวเอง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของรถไฟความเร็วสูงเท่านั้นวันนี้กำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ยกตัวอย่าง เช่น การสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทดแทนรถยนต์สันดาปภายใน อุตสาหกรรมการบินที่กำลังย้ายมาอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภา และอื่นๆอีกมากมาย เทคโนฯทางชีวะการแพทย์ ทำอย่างไรให้ประเทศไทยสามารถยืนด้วยขาของตัวเองด้านสาธารณสุขได้ ไม่ต้องนำเข้าเทคโนฯจากต่างประเทศเข้ามา ประเทศไทยยังต้องต่อสู้ทางด้านเทคโนฯอีกมากไม่ใช่เฉพาะเรื่องรถไฟความเร็วสูงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การผลิตบุคลากรหลายมหาวิทยาลัยเริ่มตื่นตัว แต่อยู่ที่รัฐบาลจะเอาจริงผลักดันมากโครงการรถไฟความเร็วสูงมาก- น้อย แค่ไหน
ชี้ร.ฟ.ท.ปฏิรูปก่อนควบคุม “ ไฮสปีดเทรน”
เมื่อถามถึงหน่วยงานรัฐที่เหมาะสมทำหน้าที่กำกับดูแลรถไฟความเร็วสูง ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กับคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า อันดับแรกหากรัฐบาลอยากให้ใครดูแลก็ต้องถามก่อนว่า การดูแลตรงนี้เรื่องอะไรบ้าง การดูแลรถไฟความเร็วสูงเราต้องมองภาพให้แตก ถ้ามองภาพเหมือนกับการกำกับดูแลรถไฟฟ้า BTS กล่าวคือ ทำเสร็จแล้ว รู้จักบริหารสัญญา ได้เงิน แล้วนำเงินนั้นว่าจ้างคนซ่อมบำรุงลักษณะแบบนี้เท่ากับการบริหารโครงการทั่วๆไป แบบนี้ใครๆ ก็ได้
“ รถไฟความเร็วสูงไม่ใช่เรื่องการเชื่อมโยง 3 สนามบินและโครงการ EEC เท่านั้น แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ประเทศไทยต้องเรียนรู้และทำให้เป็น รถไฟความเร็วสูงในต่างประเทศสามารถผลิตเองได้ เช่น ญี่ปุ่นใช้ยี่ห้อ ฮิตาชิ โตชิบ้า เกาหลีก็ใช้ยี่ห้อ KGS เยอรมนีก็ใช้ยี่ห้อซีเมนส์ เพราะฉะนั้น หากรัฐบาลมองรถไฟความเร็วสูงจะเป็นต้นแบบว่า ประเทศไทยก็ทำเองได้ ดังนั้น หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล ก็ต้องเป็นหน่วยงานที่มีความรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องการบริหารอย่างเดียว หากแต่ต้องมีความรู้ครอบคลุมด้านเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย เชื่อมโยงกับผู้ผลิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
“ แต่ยังเชื่อว่าการปฏิรูปการรถไฟฯทำได้ จากนั้นการรถไฟฯก็มีเป็นหน่วยงานที่มีความเหมาะสมทำหน้าที่บริหารจัดการรถไฟความเร็วสูง แต่หากการรถไฟฯยังเป็นเหมือนเดิมแบบนี้รัฐบาลอาจจะไม่ไว้วางใจให้ทำหน้าที่ดังกล่าว เพราะเกรงว่าดำเนินงานไม่ได้ประสิทธิภาพอาจเกิดสถานการณ์ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” แต่ยังมีความหวังว่า การรถไฟฯ สามารถยกระดับปฏิรูปองค์กรได้ ส่วนEEC ได้ชื่อว่า เป็นลูกค้าหลัก การเข้ามาของคณะกรรมการ EEC จึงมีความเป็นความจำเป็นอย่างสูง เพราะเป็นปลายทางของโครงการนี้นั่นเอง”