หัวปิงปอง-หัวร้อน!

0
315
ยังคงเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น “ทอล์ก ออฟเดอะทาวน์” สนั่นเมือง…
กับเรื่องที่ กรมขนส่งทางบก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปัดฝุ่นชงร่างแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายขนส่งและกฎหมายรถยนต์ เพิ่มโทษผู้ขับขี่รถที่ไม่มีใบอนุญาต จากเดิมจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000  บาท เป็นจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท
ทำเอาผู้คนในสังคมอุทานกันเสียงหลง ดาหน้าออกมาถล่มกันจมหู  ถึงขนาดที่อดีตผู้พิพากษาบางคนออกมาตีแสกหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจเปรียบเทียบปรับ ต้องรวบรวมหลักฐานส่งให้ศาลพิจารณาเท่านั้น  ขณะ “ทนายหัวร้อน” บางคนออกมาจวกหนักเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ยึดใบขับขี่ หรือการเพิ่มโทษปรับหนักถึง 50,000 บาทนั้นจะเป็นการเปิดช่องให้ “หัวปิงปอง” รีดไถหนักยิ่งกว่าเก่า เป็นการรังแกคนจนหาเช้ากินค่ำเพราะทำงานค่าแรงแค่ 300 บาทหากถูกศาลส่ังปรับไป คงได้พาเหรดเข้าตะรางกันเป็นทิวแถว   
หลายฝ่ายถึงกับเรียกร้องให้ “บิ๊กตู่” งัดม.44 ระงับยับยั้งร่างกฎหมายดังกล่าวไว้ล่วงหน้า !
ขณะที่ นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมขนส่งทางบก ระบุเหตุผลของการปรับปรุงยกร่างกฎหมายใหม่”ร่างพรบ.การขนส่งทางบก พ.ศ….”ที่รวมเอา  2 กฎหมายเดิม คือ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 และพ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522  เข้าไว้ด้วยกันว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และการเสนอเพิ่มโทษกรณีขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตจากจำคุกไม่เกิน 1 เดือนปรับไมเกิน  1,000 บาท เป็นจำคุกไม่เกิน 3 เดือนปรับไม่เกิน  50,000 บาท หรือกรณีไม่พกพาใบขับขี่จากปรับ 1,000 บาทเป็น 10,000 บาท นั้น เป็นไปเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งเพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่นในการบังคับใช้กฎหมาย
 เพราะบทกำหนดลงโทษใน 2 กฎหมายเดิมมีความลักลั่นแตกต่างกันอยู่ โดยในส่วนของ พรบ.ขนส่งน้ันกำหนดบทลงโทษกรณีขับรถไม่มีใบอนุญาตไว้สูงอยู่แล้ว คือจำคุกไม่เกิน 1 เดือนปรับไม่เกิน 40,000 บาทและกรณีไม่แสดงใบอนุญาตขับขี่ปรับไม่เกิน 5,000 บาทขณะที่ พรบ.รถยนต์น้ันกำหนดเอาไว้เพียงจำคุกไม่เกิน 1 เดือนปรับไม่เกิน 10,000 บาท ทำให้เกิดความลักลั่นในการบังคับใช้  
เหนือสิ่งอื่นใดเหตุผลในการยกระดับความเข้มข้นของอัตราโทษในกฎหมายใหม่ กรณีขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรือฝ่าฝืนขณะใบอนุญาตขาดอายุ หรือถูกพัก ถูกริบใบอนุญาตนั้น เพราะสถิติของปริมาณรถยนต์-จักรยานยนต์ที่จดทะเบียนบนท้องถนนเมืองไทย เฉพาะรถยนต์ และจักรยานยนต์ที่มีกว่า 27-28 ล้านคันนั้น มีผู้ขับขี่รถยนต์-จักรยานยนต์บนท้องถนนไม่มีใบอนุญาตมากถึง  8-10 ล้านคน      
และเมื่อย้อนดูสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมาข้อมูลที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาจราจรตรวจสอบและรายงานน้ันพบว่า สถิติอุบัติเหตุที่้เกิดข้ึนในเมืองไทยที่ติดทำเนียบประเทศที่มีสถิติอุบัติเหตุเจ็บ-ตายบนท้องถนนมากที่สุดในโลกนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากพฤติกรรมการขับขี่ของผู้คนในสังคม และยังพบด้วยว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่าร้อยละ 30 ก็มาจากผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตนั่นแหล่ะ ทั้งยังพบด้วยว่าเด็กและเยาวชนที่เป็นเหยื่ออุบัติเหตุบนท้องถนนน้ันมีอายุยังไม่ถึง 15 ปีด้วยซ้ำ
ชี้ให้เห็นถึงความ “หย่อนยาน”ปราศจากจิตสำนึกรับผิดชอบ “ทำอะไรก็ได้คือไทยแท้” จึงได้เสนอเพิ่มโทษตามร่างกฎหมายใหม่ เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักและปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ถือเป็นส่วนสำคัญในการลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน  
เรื่องของการกำหนดบทลงโทษผู้ขับขี่ที่ไม่มีใบอนุญาต  ฝ่าฝืนกฎจราจร  ขับขี่ย้อนศร หรือขับขี่แม้จะถูกริบถูกยึดใบอนุญาตไปแล้วนั้น บอกตามตรงสำหรับประชาชนคนไทยแล้วคงไม่อินังขับขอบอะไรหรอกและอยากเห็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะเอาจริงเอาจริงในการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เป็นรูปธรรมเสียด้วยซ้ำ !
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมาเราหย่อนยานปล่อยปละละเลยเรื่องของการ Enforce กันจนเข้ากระดูกดำ  ไปแล้ว เด็กเยาวชนไทยวัยยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่พ่อแม่กลับปล่อยให้ออกมาซิ่ง ออกมาแว้นกันหน้าสลอน การขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ของผู้คนรึทำอะไรก็ได้คือไทยแท้นั่นแหล่ะคือสิ่งที่เราเห็นกันจน “ชาชิน” ทั้งที่สิ่งเหล่านี้มันคือ ความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกใดๆ ได้คืนหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น !  
ก็น่าอยู่หรอกหากเจ้าหน้าที่รัฐจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้!
แต่ที่ผู้คนเขาดาหน้าถล่มกันเป็นวรรคเป็นเวรนั้น ไม่ใช่เพราะบทลงโทษตามตัวบทกฎหมายมันโหดเกินมนุษย์มนาอะไรหรอก เพราะไม่ว่าจะกำหนดอัตราโทษสูงยังไงหากผู้คนไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่แหกกฎเสียอย่างกฎหมายคงทำอะไรไม่ได้แน่
แต่ที่ผู้คนเขาเป็นกังวลระคนกังขาน้ันก็เพราะไม่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ขนส่ง และโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจบ้านเมืองเราจะ Enforceอย่างจริงจัง ด้วยพฤติกรรมที่ผู้คนในสังคมเห็นกันจนชาชินนั้น เราเห็นแต่ “หัวปิงปอง”กับพฤติกรรมเรียก-รีด-ไถ กันซะเป็นส่วนใหญ่
เปรียบเทียบในต่างประเทศที่เขามีกฎหมายในลักษณะเดียวกับบ้านเราหรืออาจจะรุนแรงกว่าบ้านเรา อย่างในสหรัฐอเมริกานั้น กรณีขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตแต่ละรัฐมีโทษต่างกันไปตั้ งแต่จำคุก 6 เดือนปรับ 200 – 1,000 เหรียญบางรัฐมีโทษจำคุกไม่เกิน  5 ปีปรับไม่เกิน 25,000 เหรียญ( 500,000 บาท) ส่วนญี่ปุ่นจำคุกไม่เกิน  1ปีปรับไม่เกิน 300,000 เยน(90,000 บาท) เพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียนั้น จำคุกไม่เกิน 1 ปีปรับไม่เกิน 1,000  ริงกิต(16,000 บาท)  ขณะที่กฎหมายเดิมของเรากรณีขับรถโดยไม่พกพาใบอนุญาตมีโทษปรับ 1,000 บาทและหากขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนปรับไม่เกิน 2,000 บาท ถือว่ารุนแรงน้อยกว่ามากจนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกเกรงกลัว  
สิ่งที่แตกต่างกันบ้านอื่นเมืองอื่นเขาเอาจริงเอาจังกับการ Enforce บังคับใช้กฎหมาย ไม่มีมุบมิบๆ แอบซุ่มตามสุมพุมพุ่มไม้คอยดักจับปรับหาเศษหาเลยกันอย่างหัวปิงปองเมืองไทย ที่แตะเข้าไปท้องที่ไหน พื้นที่ใด ร้อยทั้งร้อยเป็นได้เห็นตั้งด่านหาเศษหาเลยกันหมด  
ผู้คนเขากลัวว่า ด้วยบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นตามร่างกฎหมายใหม่ มันจะกลายเป็น “ดาบ 2 คม”ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ “เหลือขอ”เหล่านี้ แสวงหาผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อกันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก  ขนาดค่าปรับตามกฎหมายเดิมที่กำหนดเอาไว้แค่  500-1,000 บาท หรือสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท ยังขยันตั้ง”ด่านเถื่อน-ด่านลอย”ปั๊มยอดกันเป็นวรรคเป็นเวร!
ถ้ามีบทลงโทษเอาผิดกับเจ้าหน้าที่เหลือขอเหล่านี้อย่างจริงจัง เชื่อเถอะผู้คนเขาไม่ร้องแรกแหกกระเชอค้านกันระงมแน่ จริงไม่จริง!
:เนตรทิพย์