ATP30 ตั้งเป้าหมายปี 64 เติบโต 20% พัฒนาเทคโนโลยี Smart Mobility บริการรับส่ง

0
71

ATP30 เตรียมจ่ายปันผล 0.03 บาทต่อหุ้น รวมจ่ายปันผลทั้งปี 74.95% ของกำไรสุทธิ กำหนดจ่าย 30 เม.ย. 64 จับมือพันธมิตร โตโยต้า ทูโช ไทย โฮลดิ้งส์ พัฒนาเทคโนโลยี บริการรถรับส่ง Smart Mobility เดินหน้าธุรกิจขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้าหมายปี 64 เติบโต 20% รายได้รวม 480 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 25% เผยงบปี 63 รายได้ 391.69 ล้านบาท กำไรสุทธิ 28.75 ล้านบาท

นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) (ATP30) ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 0.03 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 20.5 ล้านบาท รวมคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 อยู่ที่ 74.95% ของกำไรสุทธิของบริษัทหลังหักสำรองตามกฎหมาย โดยจะทำการกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล(Record Date) ในวันที่ 9 เม.ย. 64 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 30 เม.ย. 64  (ขออนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 1 เม.ย. 64)

สำหรับการดำเนินธุรกิจในปีนี้ จากการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ บริษัท โตโยต้า ทูโช ไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (TTTH) บริษัทมีแผนที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท มาร่วมกันพัฒนาระบบบริหารจัดการการเดินรถ Model Smart Mobility เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสทางธุรกิจเพิ่ม อีกทั้ง TTTH มีเครือข่ายธุรกิจที่กว้างขว้าง  ถือเป็นโอกาสในการขยายฐานกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ โดยบริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโต 20% หรือมีรายได้รวมที่ 480 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 25%

ขณะที่ผลประกอบการปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม  391.69  ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 458.73 ล้านบาท จำนวน 67.04 ล้านบาท หรือลดลง 14.61% และมีกำไรสุทธิ 28.75 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 46.82  ล้านบาท จำนวน 18.07 ล้านบาท หรือลดลง 38.59%

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 4/63 บริษัทมีรายได้รวม 104.70 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 113.55 ล้านบาท จำนวน 8.85 ล้านบาท หรือลดลง 7.79% และมีกำไรสุทธิ 9.80 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.74   ล้านบาท จำนวน 0.94 ล้านบาท หรือลดลง 8.75%

ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 63 ปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด -19ซึ่งบริษัทพยายามรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในทุกด้าน พร้อมปรับปรุงการบริหารและควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 4/63 ผลประกอบการปรับตัวใกล้เคียงปกติแล้ว