ย้อนรอย 4 คดีอื้อฉาว! บทเรียนไล่เบี้ยความรับผิดทางละเมิดก่อนฟัน “จำนำข้าว”

0
396

 

ย้อนรอย 4 คดีอื้อฉาวที่รัฐงัดพรบ.ความรับผิดทางละเมิดฯปี 2539 ไล่เบี้ยความเสียหายนักการเมือง-ขรก.ก่อน “ลุงตู่” งัดคำสั่งทางปกครองเจริญรอยตาม ทั้งเรือขุดเอลลิคอตต์-คลองด่าน-ดับเพลิง กทม. และสวอปค่าเงินธปท. เผยนับ 10 ปีนับแต่มีกฎหมายนี้ยัง “จั่วลม” ไม่ได้คืนสักบาท

หลังจากนายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)สั่งให้หน่วยงานรัฐออกคำสั่งทางปกครองตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2539 ไล่เบี้ยอดีตนายกฯ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ให้ชดใช้ความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าว 35,717  ล้านบาทหรือ 20% ของมูลค่าความเสียหายรวม 178,000 ล้านบาท ตามรอยกระทรวงพาณิชย์ที่ลงนามในคำสั่งทางปกครองเรียกความเสียหายจาก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์และข้าราชการที่เกี่ยวข้องในคดีระบายข้าวจีทูจีวงเงินกว่า 280,000 ล้านบาท

แม้รัฐบาลจะยืนยันเป็นเรื่องที่ “ต้องทำ” และเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย หากอดีตนายกฯและนักการเมืองหรือข้าราชการที่ถูกฟ้องเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถใช้สิทธิ์ฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งหรือขอทุเลาคดีได้ ไม่ต้องไปตีโพยตีพายร้องสื่อให้ผู้คนสับสน

ที่ผ่านมาทั้งนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯต่างก็ใช้สิทธิ์ทางกฎหมายยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อขอทุเลาคดี ขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการยึดทรัพย์เอาไว้ก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซ่ึงล่าสุดศาลปกครองมีคำสั่งไม่คุ้มครองคำร้องขอทุเลาคดีของนายบุญทรง โดยศาลระบุว่าคดียังไม่ถึงขั้นออกคำสั่งยึดทรัพย์ เป็นเพียงหนังสือแจ้งให้ชดใช้หนี้เท่านั้น ยังไม่ได้มีคำสั่งยึดทรัพย์เพื่อนำมาชดใช้หนี้หรือขายทอดตลาดที่จะมาร้องขอทุเลาคดี จึงให้ยกคำร้องไป

คำสั่งของศาลปกครองทำให้ทุกฝ่ายถึงบางอ้อ ไอ้ที่คลังและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการไปเพื่อให้อดีตนายกฯและ รมต.พาณิชย์ร่วมกันชดใช้หนี้จากโครงการรับจำนำข้าว และโครงการระบายข้าวจีทูจีอะไรนั้น ยังไม่ถือเป็นคำสั่งยึดทรัพย์ตามกฎหมาย ยังมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอีกพะเรอเกวียน กลายเป็นรายการเรียกแขกให้งานเข้า ทำให้ รมว.พาณิชย์ต้องเร่งหารือกรมบังคับคดีเพื่อเร่งรัดกระบวนการยึดทรัพย์ให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย 

Logistics Time ขอย้อนรอยคดีอื้อฉาวที่รัฐบาลงัดกฎหมายดังกล่าวขึ้นไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายตลอดระยะเวลา 15-20 ปีนับแต่บังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ พบว่า แทบไม่มีโครงการใดเลยที่ประสบความสำเร็จในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งคืนกลับมาให้รัฐได้อย่างเป็นรูปธรรม

เริ่มจากกรณีต่อเรือขุด “เอลลิคอตต์” ของกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมจำนวน 3 ลำมูลค่า 49.4 ล้านเหรียญหรือ 2,200 ล้านที่กรมเจ้าท่าจ่ายเงินงวดไปกว่า 43 ล้านเหรียญหรือ 80% ของค่าจ้างแต่กลับไม่ได้เรือขุดกลับมา ซ้ำร้ายบริษัทยังลากเอาเรือขุดที่ว่าออกไปขายโชว์ออกสื่อทั่วโลก ก่อนที่กรมเจ้าท่าจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการป.ป.ช.ไล่เบี้ยเอาผิดข้าราชการผู้เกี่ยวข้องจนถูกฟ้องติดคุกติดตะรางอยู่ในปัจจุบัน ทั้งยังมีคำสั่งทางปกครองไล่บี้ข้าราชการ 16 คนให้ร่วมกันชดใช้ความเสียหายตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ วงเงินรวมกว่า 24.4 ล้านเหรียญ

วันนี้ผ่านมาจะ 10 ปีแล้ว กรมเจ้าท่าได้เงินชดเชยความเสียหายกลับคืนมาหรือไม่ นายกฯและรองนายกฯวิษณุ เครืองาม น่าจะติดตามถามไถ่ รมว.คมนาคมและกรมเจ้าท่าดูที เพราะเท่าที่ติดตามรายงานล่าสุดนั้น ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งทางปกครองให้ข้าราชการไปหลายราย

ถัดมาคดีค่าโง่โครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย “คลองด่าน” 23,000 ล้านบาท ที่นักการเมืองสุมหัวข้าราชการโกงรัฐดอดเอาลำรางสาธารณะมาขาย และทั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและป.ป.ช.ที่ล้วงลูกเข้ามาตรวจสอบต่างชี้ขาดว่าผิดเต็มประตู ล่าสุด ศาลฎีกาเพิ่งมีคำพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษ(คพ.) จ่ายเงินค่าจ้างให้ผู้รับเหมากว่า 9,000 ล้าน จนรัฐบาลต้องขอเรี่ยไรเงินส่วนราชการไปเสียค่าโง่ให้ ก่อนจะตลบหลังสั่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ง.ไล่ยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องเป็นเรื่องคาราคาซังกันอยู่

ในส่วนของการไล่เบี้ยความเสียหายนั้น แม้กรมควบคุมมลพิษจะมีคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายเอากับนายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมว.มหาดไทย 5,229 ล้าน นายยิ่งพันธ์ มนะสิการ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์ 4,770 ล้านและข้าราชการผู้เกี่ยวข้องคนละนับ 1,000 ล้าน แต่จนถึงวันนี้คืบหน้าไปถึงไหนอย่างไร กรมควบคุมมลพิษ(คพ.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)ไม่คิดจะป่าวประกาศให้สาธารณะชนได้รับรู้กันบ้างหรือ? 

โดยเฉพาะคดีค่าโง่รถ-เรือดับเพลิง กทม. 6,800 ล้านบาทที่ กทม.จัดซื้อจากบริษัทสไตเออร์ ที่ทำไปทำมาก็กลับกลายมาเป็น “ค่าโง่” เสียสนิท เพราะรถ-เรือดับเพลิงที่จัดซื้อมาถูกจอดทิ้งอยู่ในท่าเรือแหลมฉบัง ก่อน กทม.จะลุยกำถั่วฟ้องบริษัทเอกชนเพื่อเรียกค่าเสียหาย สุดท้ายกลับ “หน้าแหก” เมื่อถูกอนุญาโตตุลาการโลกชี้ขาดให้พ่ายคดี โดยไม่เพียงจะต้องจ่ายเงินให้บริษัท รถและเรือดับเพลิงที่ถูกจอดตากแดดกรำฝนมานับ 10 ปีจนกลายเป็นเศษเหล็กนั้น วันนี้ ยังไม่รู้ว่ากทม.จะต้องใช้งบประมาณอีกเท่าไหร่จึงจะซ่อมแซมกลับมาใช้งานได้

ขณะที่การฟ้องไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายทางแพ่งผู้เกี่ยวข้องนับสิบรายนั้น 1 ในรายที่ถูกฟ้องคือนายโภคิน พลกุล อดีต รมช.มหาดไทย ศาลปกครองได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปคนแล้ว ที่เหลือแทบไม่ต้องคาดเดาในเมื่อมีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโลกเป็น “เกราะกำบัง” ให้อยู่!

ด้าน นายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติที่ถูกทั้งป.ป.ช.และรัฐบาลรุมฟ้องให้ต้องชดใช้ความเสียหายจากการทำ “สวอป” ค่าเงินบาทในช่วงวิกฤติค่าเงินปี 2540 จนทำเอาประเทศไทย “ล้มทั้งยืน” และถูกธปท.ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งตั้งแต่ปี 2547 ให้อดีตผู้ว่าการธปท.ต้องชดใช้ความเสียหายตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ วงเงินกว่า 186,000 ล้านบาทนั้น  ล่าสุดศาลฎีกาเพิ่งมีคำพิพากษายืนให้“ยกฟ้อง” อดีตผู้ว่าการธปท.ไปแล้วเรียบร้อยโดยที่รัฐและธปท.ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ

มาถึงคดีรับจำนำข้าวที่รัฐบาลตัดสินใจงัดคำสั่งทางปกครองไล่บี้อดีตนายกฯและผู้เกี่ยวข้องให้ต้องร่วมกันชดใช้ความเสียหาย แยกเป็นคดีระบายข้าวจีทูจีที่ให้กระทรวงพาณิชย์ออกคำสั่งทางปกครองให้นายบุญทรง อดีตรมว.พาณิชย์และข้าราชการจำนวน 6 คนร่วมกันชดใช้ความเสียหาย 280,000 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงการคลังก็ออกคำสั่งทางปกครองให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ความเสียหาย 35,000 ล้าน ส่วนความเสียหายที่เหลือ 140,000 ล้านบาทเศษนั้น กระทรวงพาณิชย์จะต้องไปตั้งเรื่องเอากับผู้เกี่ยวข้องอีกกว่า 986 รายต่อไป

หากพิจารณาเส้นทางการใช้คำสั่งทางปกครองตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯปี 2539 เพื่อเรียกร้องความเสียหายเอาจากนักการเมือง ข้าราชการผู้เกี่ยวข้องในคดีความต่างๆ ก่อนหน้า จะเห็นว่าทุกคดีล้วนไปจบลงที่ศาลปกครอง และศาลแพ่ง ดังที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯเปรยออกมาก่อนหน้า ที่แตกต่างกันก็คือ ขนาดโครงการที่ไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอย่างการทำสวอปค่าเงินบาท หรือโครงการที่ศาลมีคำพิพากษาว่าทุจริตกันทั้งขบวนการอย่างคดีค่าโง่คลองด่านภาครัฐยังเสียค่าโง่กันมาแล้ว

ขณะที่โครงการรับจำนำข้าวนั้น ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจ นอกจากจะไม่มีการชี้มูลว่าโครงการมีการทุจริตอย่างไรแล้ว การประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น ยังมาจากการคาดคะเนเอาจากงบประมาณที่รัฐบาลในอดีตได้ผลาญไปกับโครงการนี้ ทำให้ตัวเลขที่ออกมาต่างกันสุดขั้ว 

จึงแทบจะไม่ต้องคาดเดาบทสรุปสุดท้ายในอีก 15-20 ปีข้างหน้าว่าผลจะออกมาอย่างไร !!!