กลุ่มรถทัวร์ 30 โวยนโยบายรัฐ แฉข้อบังคับขนส่ง“บอนไซ”ธุรกิจไทยเอื้อทุนมังกรจีนกลืนตลาด   

กลุ่มรถทัวร์ 30 ออกโรงแฉต้นเหตุรถทัวร์นำเที่ยวเบี้ยวเสริมบขส.ช่วงเทศกาล กลุ่มผู้ประกอบการโอดข้อบังคับขนส่ง-บขส.บอนไซธุรกิจรถทัวร์นำเที่ยว-รับจ้างไม่ประจำทางไทยตายทั้งเป็น บังคับวิ่งแช่ 80-90กม./ชม.ให้แซงได้ไม่เกิน 2 นาที ต้องพักรถทุก 4 ชั่วโมง เปลี่ยนคนขับบังคับต้องขับไม่เกิน 8 ชม.ข้องใจรัฐเอาใจรถทัวร์จีนให้วิ่งได้แม้ป้ายแดงไม่จดทะเบียน

0
721
 
กลุ่มรถทัวร์ 30 ออกโรงแฉต้นเหตุรถทัวร์นำเที่ยวเบี้ยวเสริมบขส.ช่วงเทศกาล กลุ่มผู้ประกอบการโอดข้อบังคับขนส่ง-บขส.บอนไซธุรกิจรถทัวร์นำเที่ยว-รับจ้างไม่ประจำทางไทยตายทั้งเป็น บังคับวิ่งแช่ 80-90กม./ชม.ให้แซงได้ไม่เกิน 2 นาที ต้องพักรถทุก 4 ชั่วโมง เปลี่ยนคนขับบังคับต้องขับไม่เกิน 8 ชม.ข้องใจรัฐเอาใจรถทัวร์จีนให้วิ่งได้แม้ป้ายแดงไม่จดทะเบียน
นายวสุเชษฐ์  โสภณเสถียร อดีตนายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย(สปข.)หรือ รถทัวร์นำเที่ยวหมวด 30  กล่าวถึงสาเหตุที่ผู้ประกอบการรถทัวร์นำเที่ยวและรถโดยสารไม่ประจำทางหมวด 30  ไม่ยอมนำรถเสริมเข้าไปให้บริการร่วมกับบขส.ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาจนทำให้มีผู้โดยสารตกค้างที่สถานีขนส่งหมอชิตเป็นจำนวนมาก ว่าสมาชิกรถทัวร์นำเที่ยวหมวด 30 ที่มีอยู่ 30,000 คันไม่ได้บอยคอตบขส.และไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนแต่อย่างใด แต่เหตุที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าไปร่วมให้บริการได้ เพราะข้อบังคับในการเดินรถ ตามประกาศขนส่งล่าสุด ทำให้ผู้ประกอบการและคนขับรถทัวร์ส่วนใหญ่ทำตามได้ยากเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติได้และแม้ก่อนหน้าจะมีการหารือร่วมกับกรมขนส่งทางบก และ บขส.เพื่อหาทางออก แต่ก็ยังไม่มีข้อยุติ
ทั้งนี้ตามประกาศของกรมขนส่งนั้น กำหนดให้รถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทางและไม่ประจำทางใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80-90 กม.หากต้องใช้ความเร็วเกิน 90 กม.เพื่อแซงรถอื่นจะต้องกลับเข้าช่องทางภายใน 2 นาทีไม่เช่นนั้นจะถูกปรับ ตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท ทั้งยังกำหนดให้ต้องพักรถทุก 4 ชั่วโมงเป็นเวลา 30 นาที เปลี่ยนคนขับกับบังคับให้บริการได้ไม่เกินวันละ 8 ชม. โดยข้อมูลการเดินรถ คนขับเหล่านี้จะถูกบันทึกและมอนิเตอร์โดยศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบจีพีเอสของกรมขนส่งทางบกที่มีการออนไลน์ข้อมูลไปยังทุกจังหวัด
เงื่อนไขการเดินรถดังกล่าวทางสมาคมเห็นว่าไม่สอดคล้องกับสภาพการเดินรถจริง เพราะการบังคับความเร็วแค่ 80-90 กม.และในตัวเมืองยังกำหนดให้วิ่งได้ไม่เกิน 60 กม./ชม.ด้วยอีกโดยไม่ดูสภาพถนนที่แท้จริงนั้น แม้ผู้ประกอบการและพนักงานขับรถอยากทำตาม แต่จะถูกผู้โดยสารผู้ใช้บริการด่ายับกับการขับรถแช่ ทำให้ไปถึงจุดหมายปลายทางล่าช้ากว่ากำหนดเวลามากเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก
ขณะที่การกำหนดเงื่อนไขให้แซงได้ไม่เกิน 2 นาทีนั้นก็ทำได้ยาก เพราะสภาพการจราจรจริงนั้นมีทั้งรถสิบล้อ รถพ่วง และเทรลเลอร์ รวมทั้งรถส่วนบุคคลที่วิ่งช่องทางซ้ายร่วมทางอยู่ด้วย การจะเร่งแซงรถเหล่านี้ต้องใช้เวลาเกิน 2 – 5 นาทีขึ้นไป แต่ศูนย์ควบคุมระบบจีพีเอสที่มีเจ้าหน้าที่มอนิเตอร์ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น มีหน้าที่มอนิเตอร์และออกใบสั่งตามเท่านั้น และทุกจังหวัดก็แข่งกันออกใบสั่ง โดยกำหนดให้เจ้าของรถ หรือคนขับต้องไปรายงานตัวเสียค่าปรับยังท้องที่เกิดเหตุด้วยอีก กลายเป็นอุปสรรคปัญหาที่ผู้ประกอบการนชต้องวิ่งวุ่นจ่ายค่าปรับในการเดินรถแต่ละเที่ยว
อย่างสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ 700 กม.เศษนั้น ปกติรถวิ่งกัน  8-9 ชั่วโมงออก 2 ทุ่ม ถึงปลายทางตี 5 -6 โมงเช้า แต่เมื่อต้องทำตามประกาศขนส่งใหม่กว่าจะไปถึงปลายทางก็คง  9-10 โมงเช้าหรือเที่ยงไปแล้วค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นภาระของผู้ประกอบการ ขณะที่ผู้โดยสารผู้ใช้บริการก็คงด่าที่ไปถึงจุดหมายล่าช้าอีก
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดที่ให้ต้องพักรถทุก 4 ชั่วโมง เป็นเวลา 30 นาที และต้องเปลี่ยนคนขับทั้งที่ช่วงเทศกาลนั้นใช้ความเร็วไม่ได้ เอาแคไปสระบุรี-โคราช ที่ควรใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง แต่เมื่อต้องทำตามประกาศขนส่งใหม่ก็ต้องใช้เวลาเกิน 4-5 ชั่วโมงไปแล้วถึงเวลาต้องพักรถแล้ว ซึ่งขนส่งไม่ได้ดูตรงนี้ แค่ข้อมูลโชว์ว่าใช้รถเกินกำหนดก็ออกใบสั่งตามไปแล้ว  ออกรถไปแต่ละครั้งมีใบสั่งตามไปถึงบริษัทเป็น 10 ใบค่าเบี้ยเลี้ยงที่คนขับรถได้ 1,000-2,000 บาทยังไงก็ไม่คุ้ม คนขับจึงไม่ยอมขึ้นรถ ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำไปก็ขาดทุน
นายวสุเชษฐ์  ยังกล่าวย้ำถึงสภาพการณ์ของผู้ให้บริการรถทัวร์นำเที่ยวในปัจจุบันว่าอยู่ในภาวะง่อนแง่นใกล้ปิดตัวลงทั้งระบบ จากความไม่เข้าใจของภาครัฐที่ไปออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆบอนไซกิจการของคนไทยโดยก่อนหน้านี้ก็มีนโยบายระงับการจดทะเบียนรถทัวร์ 2 ชั้น ด้วยข้ออ้างเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งทั้งที่ในข้อเท็จจริงรถทัวร์ 2ชั้นดังกล่าวเป็นที่ต้องการของตลาด และการต่อรถทัวร์แบบ 2 ชั้นดังกล่าวก็มีมาตรฐานความปลอดภัยกำกับอยู่
ล่าสุด กรมขนส่งยังมีความพยายามจะเลิกรถตู้โดยสารแล้วหันไปนำเข้ารถมินิบัสของจีนเข้ามาทดแทนอีก โดยจะแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเอื้อให้มีการนำเข้ารถมินิบัสเหล่านี้เข้ามาขายในราคาต่ำแค่คันละ 1 ล้านบาทเศษเท่านั้น ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นคงไม่กระทบแต่ผู้ประกอบการรถตู้เท่านั้น ยังกระทบไปถึงผู้ประกอบการรถบัสโดยสารในประเทศที่เป็นกิจการเอสเอ็มอีที่จะต้องทะยอยปิดตัวลงเช่นกัน
 10 ปีนับจากนี้มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าผู้ประกอบการรถโดยทัวร์โดยสารในประเทศรถทัวร์ไม่ประจำทางต่าง ๆ คงจะทยอยปิดตัวลงไป กลายเป็นเอ็นพีแอลจากการเข้ามาของทัวร์จีนที่ได้รับการโอบอุ้มจากรัฐ แต่ทว่ากับผู้ประกบการอู่ต่อรถในบ้านเราที่คร้ังหนึ่งภาครัฐเคยมีนโยบายส่งเสริมจะให้เป็นศูนย์กลาง(ฮับ) ของการต่อรถกำลังล่มสลายจากนโยบายไม้หลักปักเลนของรัฐ อีกหน่อยรถทัวร์ไทยและรถโดยสารหมวด 30 คงหายไปจากตลาด ผู้ประกอบการท่องเที่ยวหรือไกด์ทัวร์ต้องหันไปพึ่งรถทัวร์จีนที่ในเวลานี้มีการนำเข้ามาจดทะเบียนมากกว่า 6,000-7,000คันเข้าไปแล้วทำให้ไทยต้องเสียดุลการค้าไปไม่รู้เท่าไหร่ แถมได้รับการเอาใจจากกรมขนส่ง แม้กระทั่งเอารถป้ายแดงมาวิ่งให้บริการเป็นปี ๆ โดยไม่จดทะเบียนก็ยังอนุโลมให้ได้