ฮัทชิสัน พอร์ทฯทุบสถิติตู้สินค้าผ่านท่าสะสม 50 ล้าน ทีอียู ลุยสร้างมาตรฐานใหม่อุตฯโลจิสติกส์

0
0

ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย (HPT) ทุบสถิติตู้สินค้าผ่านท่าสะสม 50 ล้าน ทีอียู สร้างมาตรฐานใหม่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และพาณิชยนาวีของไทย พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นการขับเคลื่อนขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ของประเทศ

มร. สตีเฟ้นท์ อาร์ทเวิรท กรรมการผู้จัดการ ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “เรารู้สึกภูมิใจที่ได้เฉลิมฉลองยอดสะสมตู้สินค้าผ่านท่าปริมาณ 50 ล้าน ทีอียู การบรรลุหลักชัยในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น นวัตกรรม และพันธมิตรที่แข็งแกร่งของเราตลอดสองทศวรรษ อีกทั้งยังสะท้อนความเชื่อมั่นที่ลูกค้า การท่าเรือแห่งประเทศไทย หน่วยงานภาครัฐ ผู้ให้บริการขนส่ง ผู้ส่งสินค้า และผู้ถือหุ้นมีให้ รวมถึงแรงสนับสนุนที่ช่วยให้เราสามารถบรรลุหลักชัยครั้งนี้ ผมขอแสดงความขอบคุณแก่ทุกท่านที่คอยอยู่เคียงข้างเราตลอดการเดินทางที่ผ่านมา”

ในอนาคต HPT ได้วางแผนส่งเสริมการพัฒนาด้วยท่าเทียบเรือชุด D ซึ่งเป็นท่าเทียบเรืออัตโนมัติที่พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) โดยท่าเทียบเรือชุด D จะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมปฏิบัติการอย่างเต็มรูปแบบในต้นปี 2569 ที่จะถึงนี้ และจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการยกระดับขีดความสามารถในการรองรับสินค้าและเทคโนโลยีล้ำสมัย

ท่าเทียบเรือชุด D มีความยาวหน้าท่า 1,700 เมตร และความลึก 16 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถรองรับเรือขนส่งตู้สินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้ โดยภายในท่าเทียบเรือยังมีการบริหารจัดการและปฏิบัติการด้วยระบบดิจิทัลที่ทันสมัยต่างๆ อาทิ Terminal Operating System (TOS) n-Gen และประตูตรวจสอบตู้สินค้าอัตโนมัติ อีกทั้งยังติดตั้งเครื่องมือพลังงานไฟฟ้าหลายอย่าง อาทิ เครนยกขนตู้สินค้าหน้าท่าและในลานควบคุมระยะไกล และรถหัวลากอัตโนมัติไร้คนขับ ซึ่งช่วยให้ปฏิบัติการมีความปลอดภัยและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในต้นปี 2569 ท่าเทียบเรือชุด D จะมีเครนยกขนตู้สินค้าหน้าท่าควบคุมระยะไกล 17 คัน เครนยกขนตู้สินค้าในลานแบบล้อยางควบคุมระยะไกล 43 คัน และรถยกตู้สินค้า 10 คัน การลงทุนในเครื่องมือยกขนตู้สินค้าเหล่านี้จะทำให้ท่าเทียบเรือมีขีดความสามารถในการรองรับสินค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 3.5 ล้านทีอียู

HPT ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านการใช้รถหัวลากอัตโนมัติที่ติดตั้งระบบเรียนรู้ด้วย AI เซนเซอร์ และเทคโนโลยีสร้างแผนที่ 3D ซึ่งทำให้รถหัวลากอัตโนมัติไร้คนขับเหล่านี้สามารถปฏิบัติการคู่กับรถหัวลากไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือครอบคลุมปฏิบัติการทั้งหมดในท่าเทียบเรือ

มร. อาร์ทเวิรท เสริมว่า “วิสัยทัศน์ของเราคือการเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ การปรับใช้อุปกรณ์พลังงานไฟฟ้า รถหัวลากอัตโนมัติ และปฏิบัติการที่เป็นดิจิทัล จะช่วยให้เราสามารถลดการปล่อยคาร์บอน พร้อมสร้างสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นให้แก่พนักงานของเรา โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายในการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593”