EA ผนึกฟน.และพันธมิตรผุดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครั้งแรกในไทย

0
221
บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด(มหาชน)(EA) ได้ลงนาม MOU ระหว่างบริษัทย่อยของ EA คือบริษัทพลังงานมหานคร กับการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)และพันธมิตรภาคเอกชน ตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า “EA Anywhere”เป็นครั้งแรกในไทย รองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไทยในอนาคต 
นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  EA กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการที่ยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นทิศทางที่เกิดขึ้นทั่วโลก  ดังนั้น การขยายธุรกิจสู่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นการเตรียมความพร้อมและส่งเสริมให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในไทยทั้งประเภทปลั๊กอินไฮบริดจ์(PHEV)และประเภทแบตเตอรี่(BEV)ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าหมายภายในปี 79 จะมีรถไฟฟ้าในไทย 1.2ล้านคัน แต่เราคาดจะเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นกว่าเป้าหมายดังกล่าว
“หากต้องการให้มีคนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นก็ต้องลงทุนสร้างองค์ประกอบที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกไว้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะการมีสถานีชาร์จไฟในทุกจุดสำคัญเพื่อรองรับการเดินทางทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าภายในปี 61จะมีสถานีชาร์จไฟ 1,000 สถานีทั่วประเทศ ใช้เงินทุนราว 600 ล้านบาท โดยเน้นกรุงเทพฯและปริมณฑลก่อนตามด้วยหัวเมืองใหญ่ โดยเทคโนโลยีของหัวชาร์จที่ EA พัฒนาขึ้น จะทำให้สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็วถึงระดับ Super Charge โดยใช้เวลาเพียง 15-20นาทีสามารถวิ่งรถได้ไกล 200-300กิโลเมตร  และรองรับรถยนต์ทุกยี่ห้อ  รวมทั้งรองรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ในอนาคตด้วย ซึ่งจะพลิกโฉมกรุงเทพมหานครไปสู่สมาร์ทเมโทร เมืองที่ปราศจากมลภาวะจากรถยนต์ในอนาคต”
นอกจากนี้ นายสมโภชน์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันได้เปิดตัวสถานีชาร์จไฟฟ้า EA Anywhere แล้วที่อาคารจอดรถศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น GA NORTH และสยามคาร์พาร์ค รองรับการชาร์จได้พร้อมกันถึง 6 คัน ใช้ได้ทั้งรถยนต์ ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งใช้งานง่ายและมีความปลอดภัยสูง ชาร์จไฟฟ้าได้ฟรีไปจนถึงสิ้นเดือนต.ค.นี่้ จากนั้นจะคิดค่าไฟตามอัตราของทางการ ส่วนบริษัทจะได้เพียงค่าบริการเท่านั้น
ด้านนายชัยยงค์ พัวพงศกร ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กล่าวว่าความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ สะะท้อนถึงความพร้อมของกฟน.ต่อการเดินหน้าธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และนับเป็นครั้งแรกที่ กฟน.จับมือกับเอกชนเพื่อพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ่้า และเป็นครั้งที่ทรงพลังที่สุด เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรที่เข้าร่วมครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้นอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว อันจะนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในอนาคต