คลี่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่…ถึงคราว “ห้องแถว-ข้าวแกง” สะเทือน!

0
1682

ในที่สุด “พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2561” ก็ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในวาระ 2 และ 3 ไป เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากก่อนหน้านี้ถูก สังคายนาใหญ่อยู่ในคณะกรรมาธิการจนหลายฝ่ายเชื่อว่าคง ปิดประตูลั่นดาน” หนทางเกิดไปแล้ว

แต่วันดีคืนดี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีได้ออกมายืนยันว่า ได้รับนโยบายจากนายกฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เร่งร่างกฎหมาย 2 ฉบับให้แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้ง นั่นคือ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ และร่าง พ.ร.บ.จัดเก็บภาษีธุรกิจออนไลน์ หรือ “e-Business” ดึงธุรกิจออนไลน์เข้าระบบภาษี

โดยในส่วนของร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯได้มีการแก้ไข จุดอ่อนของกฎหมายที่ถูกถล่มโจมตีก่อนหน้านี้แตกต่างไปจากร่างเดิมที่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการยกร่างกันขึ้นมาใหม่ ก่อนที่ สนช.จะพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ไปแบบ ม้วนเดียวจบ   หลังจากนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวคงรอประกาศศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ทันปี 2563

แม้กระทรวงการคลังจะยืนยัน ในร่างกฎหมายใหม่ที่ออกมาได้มีการปรับแก้ไขเนื้อหาอันเป็นจุดอ่อนในร่างเดิมไปหมดสิ้น ทั้งยังยันเป้าหมายของการยกร่างกฎหมายฉบับนี้ที่จะมาแทนภาษีโรงเรือนเดิมนั้น ไม่ใช่เพื่อมุ่งรีดรายได้เข้ารัฐ แต่เป็นไปเพื่อ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

กระนั้น ยังคงมีความตื่นตระหนกในหลายภาคส่วนที่ยังคงมองว่ากฎหมายฉบับนี้ยังคงเป็น ดาบ 2 คมที่ส่งผลกระทบไปถึงวิถีชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะผู้คนในระดับรากหญ้าที่จะได้รับผลกระทบถึงขั้นไม่อาจจรักษาผืนนาแปลงสุดท้ายของตนเอาไว้ได้  Logistics Time  ถือโอกาสนี้คลี่เนื้อหาในร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ อัตราภาษีที่จะมีการเรียกเก็บเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เตรียมรับมือ ดังนี้ :

คลังยันแก้ไขจุดอ่อนแล้ว

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลังในฐานะประธานกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายภาษีที่ดินที่กล่าวกับเราว่า ในร่างกฎหมายภาษีที่ดินใหม่ที่ผ่านชั้นการพิจารณาจากกรรมาธิการฯนั้นได้มีการปรับแก้ไขเนื้อหาที่เป็นจุดอ่อนในร่างเดิมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนเวลาบังคับใช้ออกไปเป็นปี 2563 การบรรเทาภาระภาษีเพื่อลดผลกระทบให้ประชาชนจาก 3 เป็น 4 ปี การรื้อเพดานและอัตราจัดเก็บภาษีจากที่จะยกเว้นบ้านหลังแรกที่มีมูลค่าต่ำกว่า 20 ล้านบาท กลับไปสู่ร่างเดิมที่กำหนดไว้ 50 ล้านบาท

มีการจำแนกที่ดินเกษตรกรออกเป็น 2 กรณีคือที่ดินรายย่อยของบุคคลธรรมดา หรือของนิติบุคค หรือเกษตรกรรายใหญ่ แบ่งย่อยประเภทที่ดินเพื่อพาณิชยกรรมแบบขั้นบันไดตามมูลค่า รวมทั้งเกณฑ์การจัดเก็บภาษีสำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ได้ทำประโยชน์จากเดิมกำหนดเพดาน 1.2% และจัดเก็บเพิ่มข้ึน 0.3%ในทุก 3 ปีแต่สูงสุดไม่เกิน 3% น้ัน ได้ปรับแก้ลงมาเพื่อบรรเทาผลกระทบแล้ว

กฎหมายดังกล่าวไม่กระทบต่อผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีให้มีภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ทางกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาปรับลดเพดานภาษีลงมาแล้ว 40% รวมทั้งให้มีการยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับบ้านหลังแรกที่ราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนบ้านหลังที่ 2 นั้นก็ได้ปรับลดอัตราภาษีลงมาเหลือเพียง 1 ล้านละ 200 บาทเท่านั้น” 

คลี่อัตราภาษีที่ดินใหม่

ในส่วนของที่ดินเกษตรกรรม ยังมีการแบ่งแยกประเภทเข้าของที่ดินเป็นบุคคลธรรมดากับนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ โดยบุคคลธรรมดาจะได้รับยกเว้นที่ดินเกษตรกรรมที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 50-100 ล้านจัดเก็บ 0.01 และ 100-200 ล้านจัดเก็บ 0.03% โดยหากที่ดินมีมูลค่า 100 ล้านจะเสียภาษีเพียง 10,000 บาทเท่านั้น

ส่วนที่ดินของนิติบุคคลกำหนดเพดานจัดเก็บ 0.15% แบ่งอัตราจัดเก็บออกเป็น 5 ชั้นคือ 0-75 ล้านบาทอัตราจัดเก็บ 0.01% มูลค่า 75-100 ล้าน 0.03 100-500 ล้านอัตรา 0.05 500-1,000 ล้านอัตรา 0.07 และตั้งแต่ 1,000 ล้านขึ้นไปจัดเก็บ 0.1%

สำหรับบ้านพักอาศัยกำหนดเพดานจัดเก็บ 0.3% แบ่งอัตราจัดเก็บไว้ 4 ขั้นประกอบด้วย 0-50 ล้านจัดเก็บ 0.02% 50-75 ล้าน 0.03% 75-100 ล้าน 0.05%และ 100 ล้านขึ้นไป 0.1% โดยหากเป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับการยกเว้นสำหรับบ้านหลังแรก(มีชื่อเป็นเจ้าบ้าน) ในส่วนมูลค่าบ้านและที่ดินไม่เกิน 50 ล้าน แต่หากเป็นบ้านหลังที่ 2 จะเก็บตั้งแต่บาทแรกเป็นต้นไป

ส่วนที่ดินเพื่อการพาณิชยกรรม กำหนดเพดานจัดเก็บ 1.2% แบ่งอัตราจัดเก็บเป็น 5 ขั้นคือ 0-50 ล้านอัตรา 0.3% 50-200 ล้าน 0.4% 200-1,000 ล้าน 0.5% 1,000-5,000 ล้าน 0.6%และ 5,000 ล้านบาทข้ึนไป 0.5% ทำให้ภาระภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่า 50 ล้านบาทจะเสียภาษี 150,000 บาท/ปี(0.3%) ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 100 ล้านจะเสียภาษี 400,000 บาท/ปี (0.4%) ส่วนที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ได้ทำประโยชน์ กำหนดเพดาน 3%แต่จะจัดเก็บ 0.3% และเพิ่ม 0.3%ในทุก 3 ปีแต่สูงสุดไม่เกิน 3%

ห้องแถว-ร้านข้าวแกงกระเทือน!

หากพิจารณาเนื้อหากฎหมายภาษีที่ดินใหม่กันอย่างผิวเผิน ทุกฝ่ายต่างเชื่อว่าคงไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนโดยทั่วไป เพราะส่วนใหญ่ 90% ถือครองที่ดินในระดับราคาไม่เกิน 5-10 ล้านบาทที่ได้รับยกเว้นภาษีอยู่แล้ว

อีกทั้งกระทรวงการคลังยังได้วางมาตรการลดผลกระทบที่จะเกิดกับเกษตรกร ชาวไร่ชาวนาให้อยู่แล้ว โดยยกเว้นภาษีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมของบุคลธรรมดาที่อาจมีหลายแปลงหากตั้งอยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทก็ให้ได้รับการยกเว้นภาษีไปเลย เพื่อป้องกันการตีความแบบศรีธนญชัยขององค์กรปกครองท้องถิ่น(อปท.)

แต่กระนั้นสิ่งที่แฝงอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ที่คลังยังไม่ได้ให้่ความกระจ่างแก่ผู้คนก็คือ แต่เดิมบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของเรานั้นไม่มีการแยกประเภทการใช้ประโยชน์ในที่ดินสิ่งปลูกสร้างกันมาก่อนว่า เป็นบ้านที่อยู่อาศัย หรือทำมาค้าขาย เราจึงเห็นผู้คนเอาบ้านมาทำห้องเช่าห้องแถว เอาบ้านพักอาศัยมาทำร้านค้า โชห่วยพรึ่ดเต็มเมือง   แต่กฎหมายภาษีที่ดินใหม่ได้แบ่งแยกประเภทการใช้ที่ดินเพื่อจัดเก็บภาษีเอาไว้อย่างชัดเจน!!!

นั่นหมายถึงว่าเมื่อถึงคราวประเมินภาษีตามโครงสร้างใหม่ บรรดาห้องแถว อาคารพาณิชย์ที่เจ้าของนำไปตั้งร้านค้า ข้าวแกง ซักรีดเสื้อผ้า หรือเปิดร้านค้าโชห่วยเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในซอยละลายทรัพย์ ย่านสีลม ชิดลม สุขุมวิท ตลอดแนวถนนลาดพร้าว สุขุมวิท พระราม 4 หรือตามหัวเมืองในต่างจังหวัด

ที่ดินสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จะถูกตีความว่าเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทอื่นๆที่ไม่ใช่เพื่ออยู่อาศัยและต้องเสียภาษีตามราคาประเมินต้ังแต่บาทแรก” ในอัตรา 0.3% สูงสุดไม่เกิน 0.7% ในทันที!

ผลที่ตามมาบรรดาห้องแถว ขายข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวที่ตั้งอยู่ในทำเลทองที่เดิมไม่เคยต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่หรือเสียน้อย กลุ่มคนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบในวงกว้าง และโดยเฉพาะบรรดากิจการที่ใช้ที่ดินมากแต่ให้ผลตอบแทนต่ำอย่างสถานีบริการน้ำมัน-แก๊ส คาร์แคร์ ตลาดสดใจกลางเมือง อพาร์ทเมนต์ สถานที่จอดรถที่ในอนาคตอันใกล้ไม่อาจสร้างรายได้จ่ายภาษีที่ดินตามโครงสร้างใหม่ได้แน่  ผลที่ตามมารายได้จากค่าเช่าและการประกอบกิจการค้าขายเล็กๆน้อยๆที่ได้เหล่านี้จะไม่คุ้มภาระภาษีที่ต้องแบกรับ จนสุดท้ายอาจต้องเลือกปิดกิจการหรือขายที่ดินออกไป  

เปิดช่องโหว่อปท.ทุจริต!

เหนือสิ่งอื่นใดแม้ ใน บทเฉพาะกาล ของกฎหมายได้ยกเว้น 2 ปีแรกให้เก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนด เช่น ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในเกษตรกรรม มูลค่าที่ดินประเมินไม่เกิน 75 ล้านบาท เก็บภาษีไม่เกิน 0.01% 7,500 บาท เกิน 75–100 ล้านบาท เก็บภาษี 0.03% เกิน 100–150 ล้านบาท เก็บภาษี 0.05% เกิน500–1,000 ล้านบาท เก็บภาษี 0.07% เกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เก็บภาษี 0.1% เท่ากับที่ดิน 1 พันล้านบาท เสียภาษีแค่ 10 ล้านบาทส่วน สิ่งปลูกสร้างอยู่อาศัย มูลค่าไม่เกิน 25 ล้านบาท เก็บภาษีในอัตรา 0.03% 7,500 บาท ไม่เกิน 50 ล้านบาท เก็บภาษี 0.05% 25,000 บาท

 เป็นภาษีที่ เอื้อคนรวย” อย่างเห็นได้ชัด  จึงไม่แปลกใจที่ก่อนห้านี้เศรษฐีที่ดินแลนด์ลอร์ดเมืองไทยมีการผุดบริษัทกระจายถือครองที่ดินถึงกว่า 200 บริษัท ตอนนั้นทุกฝ่ายเข้าใจว่าเพื่อหลบเลี่ยงภาษีมรดก ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าเป็นไปเพื่ออะไร

การชำระภาษี ต้องชำระในเดือนพฤษภาคมทุกปี หากไม่ชำระตามเวลา ต้องเสียค่าปรับ 40% ของภาษีที่ค้างชำระ และหากไม่ชำระภาษีค้างตามเวลาที่กำหนด ให้เสียเงินเพิ่มอีก 1% ต่อเดือน โดยให้ปัดเศษเป็น 1 เดือน หากไม่ชำระภายใน 90 วันนับแต่มีหนังสือแจ้งเตือน ให้อำนาจผู้บริหารท้องถิ่นออกคำสั่งเป็นหนังสือ ยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สิน เพื่อนำเงินมาชำระภาษีที่ค้างชำระ เบี้ยปรับเงินเพิ่ม และค่าใช้จ่ายอื่น โดยไม่ต้องขอให้ศาลสั่ง

เป็นการ เพิ่มอำนาจให้ผู้บริหารท้องถิ่นอย่างเต็มที่ นับเป็นเรื่อง อันตรายอย่างยิ่ง เพราะอำนาจ” กับ ผลประโยชน์” เป็นเรื่องที่มักจะเอื้อกันไปตลอดถ้าไม่ถ่วงดุล

แปลให้ง่ายการถือครองที่ดิน ส่ิงปลูกสร้างจากนี้ไปไม่ว่าจะมากหรือน้อยชีวิตต่างแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่มีสิทธิ์ติดคุกเอาได้ทุกเมื่อ เพราะกฎหมายใหม่ให้อำนาจองค์กรปกครองท้องถิ่น(อปท.)ทั้งประเมิน เรียกเก็บภาษีโดยให้ถือเป็นรายได้ท้องถิ่น และยังให้อำนาจท้องถิ่ย ยึด อายัด รวมทั้งขายทอดตลาดได้เองอีกด้วย

จุดนี้ถือเป็นเรื่องหม่ินเหม่ และ อันตราย” อย่างยิ่ง!

จะเกิดอะไรขึ้นหากอปท.ได้แจ้งให้เจ้าของที่ดิน ห้องเช่า ห้องแถว หรือคาร์แคร์ไปชำระภาษีตามที่ได้ประเมินออกมาแต่เจ้าของที่ดินไม่ยอมรับหรือดำเนินการตาม ซึ่งไม่เพียงจะถูกเรียกเก็บเบี้ยปรับตั้งแต่ 25-50% แล้วยังระวางโทษทางอาญากรณีไม่ปฏิบัติตามหนังสือเรียกของเจ้าพนักงานด้วยอีก  ถือเป็น ครั้งแรกที่คดีหลีกเลี่ยงภาษีมีโทษทางอาญาพ่วงด้วยซึ่งถือเป็นจุดอันตรายของกฎหมายฉบับนี้ 

เพราะนิยาม การแสดงข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนั้นกว้างครอบจักรวาล แค่เจ้าของที่ดินจดแจ้งเสียภาษีไม่ตรงกับที่เจ้าหน้าที่ประเมินไว้ก็มีสิทธิ์งานเข้าได้ทุกเมื่อ!

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้มีโอกาสส่งผลกระทบในวงกว้าง เพราะการบังคับใช้กฎหมายที่มีความซับซ้อนในเชิงปฏิบัติ มีการแบ่งประเภทการใช้ที่ดินและกำหนดอัตราภาษีเป็นขั้นบันไดนั้นจะ เปิดช่อง” ให้เกิดการทุจริตได้ง่าย เพราะไม่ได้มีการระบุไว้ชัดเจนทำให้ต้องมีการตีความถึงการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ขณะเดียวกันการจัดเก็บภาษีตาม มูลค่าสินทรัพย์ โดยไม่คำนึงถึงรายได้ที่แท้จริงของธุรกิจจะส่งผลทำให้ธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ต้องถูกบังคับขายทิ้งตามมาเป็นพรวน

ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ที่ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จะมีการหารือเพื่อรวบรวมผลกระทบ และสะท้อนปัญหาที่ยังคงเป็นข้อกังวลเหล่านี้ไปยังรัฐบาลเพื่อให้ทบทวนเนื้อหาหลักการในบางจุดต่อไป

ไม่ว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังการผลักดัน พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บภาษี ลดความเหลื่อมหล้ำทางสังคม กระตุ้นให้เกิดการนำที่ดินออกมาใช้ประโยชน์ ดังที่กระทรวงการคลังป่าวประกาศ หรือมี วาระซ่อนเร้น” ที่เอื้อให้นายทุน แลนด์ลอร์ดทั้งหลายมีโอกาสตักตวงและเก็บเกี่ยวที่ดินราคาถูก ที่ต้องถูกบังคับขายจากอัตราภาษีใหม่ได้ง่ายขึ้น  

แต่วันนี้กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับนี้ ได้ถูกทำคลอดกันออกมาแล้วเราก็ได้แต่หวังว่า บรรดาข้อกังวลที่สะท้อนออกไปข้างต้นจะไม่เกิดข้ึนจริงๆ หาไม่แล้ว รัฐบาลคสช.และสนช.ชุดประวัติศาสตร์นี้จะถูกบันทึก บัญชีหนังหมาว่าคือผู้อยู่เบื้องหลังปล้นผืนแผ่นดินที่เหลืออันน้อยนิดนี้ไปจากพี่น้องเกษตกรและประชาชนคนไทยไปตลอดศก!!!