ปลุกผี “ภาษีสรรพสามิตรถยนต์”ใหม่! ใครได้ใครเสีย?

0
258

อีกไม่อึดใจแล้วสินะครับพี่น้อง ที่ปีแพะจะได้ม้วนเสื่อโบกมือบ๊ายบายหมู่เฮาชาวไทย และนับถอยหลังเข้าใกล้เวลาที่ปีลิงจะได้ฤกษ์โผล่หัวชะโงกยักคิ้วทักทายกันแล้ว ผลงานทั้งปีของหลายๆท่านอาจเป็นปีแพะ แบ๊ะ แบะใบ้รับประทาน แต่อีกหลายท่านอาจเป็นปีแพะทองคำฝั่งเพชรกันถ้วนหน้า แต่นั่นคงไม่มีประโยชน์ที่ต้องเสียเวลากับผลงานอันสุดห่วย หรือหลงเริงร่ากับผลงานสุดเริ่ดหรู

ยังไงเสียชีวิตต้องดำเนินต่อไป ไม่มีเวลาให้จมปรักเรื่องราวในอดีตโดยประการทั้งปวง!

แต่ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว สิ่งที่โคจรมากับปีลิงและพร้อมยักคิ้วทักทายท่านทันทีที่เปิดปี 59  นั่นก็คือโครงสร้างการเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ที่มีผลบังคบใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.59 เป็นต้นไป แต่ทว่า  ปีศาจขนส่ง ใคร่ขอวิเคราะห์ผลดี-ผลเสียกับการปรับโครงสร้างการเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ครั้งนี้

ตามท้องเรื่องนั้น แต่เดิมอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์จะเป็นการเรียกเก็บตามความจุกระบอกสูบ ยิ่งรถซี.ซี.และแรงม้าสูงระดับมหาประลัยก็ย่อมจะเสียภาษีมหาโหดเช่นกัน  แต่ต่อไปจะเป็นการเรียบเก็บตามอัตราการปล่อยไอเสีย(คาร์บอนไดออกไซด์  หรือ CO2) ที่ปล่อยจากเครื่องยนต์เป็นหลัก เฉกเช่นวิถีทางประเทศที่พัฒนาแล้วเขาทำ ยิ่งรถรุ่นไหนที่ปล่อย CO2 น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียภาษีน้อยเท่านั้น

ตามท้องเรื่องดังกล่าวนั้น ก็ยิ่งส่องเห็นเจตนารมณ์คมชัดยิ่งกว่าระดับซุปเปอร์เอชดี ซึ่งภาครัฐมุ่งเน้นสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์ออกแบบและพัฒนารถยนต์ที่มีการปล่อยไอเสียในระดับที่ต่ำลง ต้องคิดค้นนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์สุดล้ำด้านการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด เพื่อเป็นตัวกำหนดราคารถยนต์ให้ต่ำกว่าได้ (เสียภาษีถูกลง) นับจากนึ้ไปเทรนด์การผลิตรถยนต์ทุกรุ่นสู่ท้องตลาดจะเน้นการปล่อย CO2 มากขึ้น แปลไทยเป็นไทยจะส่งผลดีต่อสภาพแวดล้อม มลพิษทางอากาศก็น้อยลง หมู่เฮาชาวไทยก็จะหายใจหายคอได้ดีมากขึ้น

แต่ในทางตรงข้ามก็กลับส่งผลร้ายต่อผู้ผลิตและลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์ใหญ่ๆ ปล่อยมลพิษเยอะๆ เพราะรถยนต์กลุ่มนี้จะต้องเสีย “ภาษีสรรพสามิตรถยนต์” ในอัตราที่สูงลิบลิ่ว อันจะส่งผลให้ราคาจำหน่ายสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งเหตุผลที่ต้องเก็บภาษีฯในอัตราที่สูงก็ด้วยหลักการง่ายๆที่ไม่ต้องอาศัยสมองไอคิวสูงเกิน 120 ก็พอจะมีดวงตาเห็นธรรมได้ “ใครใช้ทรัพยากร(น้ำมัน)เปลือง ทำลายสิ่งแวดล้อมเยอะ และผู้มีอันจะกินทั้งหลายแหลก็ต้องมีภาระที่ต้องรับผิดชอบคืนสู่สังคมมากกว่าคนอื่นนั่นเอง”

ปีศาจขนส่ง เชื่อเหลือเกินว่านับจากนี้ไปหากผู้ผลิตค่ายรถต่างๆไม่มีการปรับตัวรับมือไว้เสียแต่ตอนนี้ รับรองว่าเพดานราคารถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในบ้านเราก็ยิ่งทะยาน“แพงหูฉี่” ขึ้นทุกวัน แม้ราคาพลังงานจะอยู่ในระดับที่ทุกคนแฮปปี้ก็ตาม แต่หากต้องซื้อรถยนต์ในราคาที่แพงขึ้นกว่าเดิมก็ยิ่งต้องคิดแล้วคิดอีก ยิ่งผสมโรงกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาแล้วล่ะก็ เงินจะออกกระเป๋าทีก็ต้องผ่านการกลั่นกรองมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น กำแพงภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ น่าจะทะลาย “กำแพงมโน”ของค่ายรถต่างๆลงได้ เพราะไม่ใช่แค่การพัฒนารถยนต์ให้ใช้พลังงานทดแทนพวก น้ำมัน E20 E85 B5 CNG หรือจะเป็นพลังงานจากไฟฟ้าอีกต่อไป แต่ผู้ผลิตต้องพยายามปรับปรุงและพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีการปล่อยไอเสียให้ได้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทั้งการลดขนาดเครื่องยนต์ การเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ และการเลือกใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น แต่คงไว้ซึ่งพละกำลังและอัตราเร่งที่ดีคงเดิม หรือดีขึ้นกว่าเดิม

หากทุกอย่างไม่บิดเบี้ยวไปจากครรลองที่ปิศาจขนส่งร่ายมานี้ ประชาชนผู้ใช้รถจะได้รับประโยชน์เต็มเปา!