เลือกวิศวกรรมไฟฟ้าที่ มจพ. ครอบครัวสนับสนุน อยากเรียนอะไรให้ตัดสินใจเอง

0
455

วันนี้พารู้จักเด็กกรุงเทพแต่ไปเรียนวิทยาลัยเทคนิคราชบุรี จบการศึกษาจากแผนกวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง  ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) มาทำความรู้จัก “เจตน์” มีชื่อจริงว่า นายเจตน์ บุญญดิเรก กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมไฟฟ้า (PNT)  วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  สไตล์ชิลๆ ของ “เจตน์” ประมาณเด็กช่างอารมณ์ดี มีจิตอาสาหน้าตานายแบบได้เลย มองโลกในแง่ดีและมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและการทำงาน การเรียนให้มีความสุข เพราะหนุ่ม “เจตน์”  เชื่อว่าการมีทัศนคติที่ดีๆ ก็จะสามารถช่วยให้ผ่านปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี คมไหมค่ะ…

“เจตน์”  เล่าให้ฟังว่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  เสมือนเป็นแม่เหล็กกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่มีขั้วดึงดูดที่เป็นแรงจูงใจหลักและเป็นแรงผลักดันให้มีโอกาสได้ศึกษาต่อในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ โดยมีครอบครัวผมที่สนับสนุนและให้คำปรึกษาเป็นอย่างดีมาตลอด จะไม่ได้บังคับให้เรียนไปทางด้านใดด้านหนึ่ง หรือกีดกั้นไม่ให้ผมเรียนตามสายที่ตัวผมนั้นอยากเรียน แต่จะให้ตัดสินใจเองว่าอยากจะเรียนอะไรและคอยให้คำแนะนำ ชี้ถึงโอกาสในการต่อยอดว่าถ้าเราเรียนทางด้านนี้จะสามารถต่อยอดขึ้นไปทำอะไรได้บ้างในอนาคต  และตัวผมก็มีความสนใจทางด้าน “วิศวกรรมไฟฟ้า” และด้วยชื่อเสียงทางด้านวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จากคำบอกเล่าของรุ่นพี่ อาจารย์ และทางบ้าน ทำให้ผมได้รู้จักกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมจึงปักหมุดเลือกที่จะเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างไม่ลังเล

การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุขนั้นไม่ยากอย่างที่คิด  ผมมีวิธีที่จะช่วยทำให้เรียนได้ดี และแฮปปี้ได้ตลอด 4 ปี ดังนี้ อันดับแรกสำหรับผมเลยคงจะเป็นเรื่องของ “การปรับตัว” ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวทางด้านสังคม คือปรับตัวเข้าหาเพื่อนๆ เราต้องเรียนรู้ว่าเพื่อนแต่ละคนเป็นยังไง มีอุปนิสัยอย่างไร ชอบอะไรและไม่ชอบอะไร เพราะเพื่อนแต่ละคนก็มีอุปนิสัย ความชอบ ความคิดที่แตกต่างกันออกไป บางทีเราอาจจะเผลอทำให้เพื่อนไม่สบายใจหรือทำในสิ่งที่เพื่อนไม่ชอบออกไป อาจจะเกิดความไม่พอใจเกิดเป็นความขุ่นเคืองใจกันได้ ดังนั้นต้องเริ่มจากการปรับปรุงที่ตัวเราก่อน และเปิดใจเข้ากัน การมีเพื่อนที่ดีที่ช่วยสนับสนุนกันในเรื่องการเรียนหรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วๆ ไป คอยให้คำปรึกษา ช่วยเหลือกัน และคอยเป็นกำลังใจให้กัน ก็จะช่วยให้เรามีกำลังใจ สามารถเรียนได้อย่างมีความสุขและสามารถใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่นจนประสบความสำเร็จได้ในที่สุด นอกจากการปรับตัวทางด้านสังคมแล้ว รองลงมาคงเป็นเรื่องการปรับตัวด้าน “การเรียน” ด้วยเพราะการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนอกจากวิชาการนั้นจะมีความยากขึ้นแล้ว  ตัวเราก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย ต้องรู้จักแบ่งเวลามากขึ้น มีวินัยในตัวเอง รู้จักวางแผนการเรียนควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาส่งผลกระทบต่อการเรียนได้ และข้อสุดท้าย คือ “มีทัศนคติ” ที่ดีก็สามารถช่วยให้เราใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุขได้เช่นกัน เช่น เวลาที่เราเจอแรงกดดัน เจอปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ หรือแม้กระทั่งเจอปัญหาในเรื่องการเรียน “ถ้าเรามีทัศนคติที่ดีก็จะสามารถช่วยให้ผ่านปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี”

เทคนิคการทำให้ผมอยู่รอดให้ครบ 4 ปี มันเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่สามารถเรียนรู้จากบริบทต่างๆ จากในรั้วมหาวิทยาลัย มีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้  

1) การปรับตัวเข้าหาผู้อื่น และการสร้างความสัมพันธ์อันดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ หรือว่าอาจารย์ และแม้กระทั่งบุคลากรอื่นๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย การมีสัมพันธ์อันดีก็จะช่วยให้สามารถเรียนรู้ที่จะยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แค่นี้ก็สามารถใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น 

2) การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยจะช่วยทำให้เราได้รับประสบการณ์ การรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การปรับตัวเข้าหาผู้อื่น แม้กระทั่งการแบ่งเวลาหรือการสร้างวินัยในตนเอง ยกตัวอย่างกิจกรรมที่ผมได้ทำในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น การเป็นจิตอาสาจราจร ซึ่งผมมีโอกาสได้อบรมเกี่ยวกับการทำหน้าที่จิตอาสาจราจร และได้ทำหน้าที่เป็นจิตอาสาจราจรในการอำนวยความสะดวกทางด้านจราจรให้แก่บัณฑิตและญาติบัณฑิตในการเดินทางมาซ้อมรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และรับปริญญาจริง ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) อีกด้วย

3) การทำกิจกรรมสอนให้เราได้ “รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น” และเรายังได้รับความรู้ที่เป็นความรู้นอกเนื้อหาของบทเรียน เช่น ความรู้เรื่องการใช้วิทยุสื่อสาร หรือการใช้ ว.โค้ด เป็นความรู้ติดตัวไปอีกด้วย จะเห็นได้ถึงประโยชน์ในการทำกิจกรรมว่านอกจากได้รับประสบการณ์แล้ว เรายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ต่างๆ ในกิจกรรมที่เราได้ทำ เป็นความรู้ติดตัวและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต ถึงแม้ว่าการทำกิจกรรมนั้นอาจจะไม่ได้ราบรื่นเสมอไป การที่เจอปัญหาหรืออุปสรรคมันจะช่วยสอนอะไรหลายๆ อย่างให้เราได้เรียนรู้ ได้รับประสบการณ์ และพร้อมเป็นวัคซีนให้เรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งเตรียมพร้อมไปเจอกับอุปสรรคที่เราอาจจะต้องเจอในอนาคต

4) ความรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นการมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง เช่น การที่เราหมั่นทบทวนบทเรียน รู้จักการแบ่งเวลาและลำดับความสำคัญของสิ่งที่ทำ หรือทำการบ้านส่งให้ครบ และการรับผิดชอบต่อส่วนรวม เช่น ทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตนเองออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงต่อเวลา และรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นในการทำงานกลุ่ม หรือการทำงานกับส่วนรวม

5) การรู้จักวางแผนในการเรียนหรือรู้จักการวางแผนในการดำเนินชีวิต การวางแผนนั้นจะช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น

สิ่งที่ผมประทับใจในรั้วมหาวิทยาลัย คือ การได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ กับเพื่อนๆ และอาจารย์ ได้ร่วมกันสร้างความทรงจำที่ดีๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือแห่งนี้ สำหรับผมคิดว่าการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนกับการเขียนไดอารี่เล่มหนึ่ง แต่ละเรื่องราวนั้นมีทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่เป็นบทเรียนสอนให้เราเติบโตขึ้น ในอนาคตถ้าเรากลับมาเปิดไดอารี่เล่มนี้เราก็คงอยากให้ไดอารี่เล่มนี้เป็นไดอารี่ที่มีแต่เรื่องราวที่มีความสุข  ดังนั้น เมื่อเรามีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วเราก็ควรใช้ชีวิตอย่างมีความสุข รู้จักปรับตัวเข้าหาผู้อื่น รู้จักมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่ดี มีความรับผิดชอบและมีวินัยในตนเอง มีน้ำใจกับเพื่อนๆ กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ สุดท้ายนี้การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นอาจจะไม่ยากและไม่ง่าย ต้องรู้จักการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และพร้อมรับกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะส่งผลให้เรามีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี เป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองและสามารถออกจากรั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ออกไปทำตามความฝันและพัฒนาประเทศชาติต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ

ขวัญฤทัย ข่าว-ภาพ