ครึ่งปีแรก บ้านปูฯฟันกำไรสุทธิ 3,670 ล้าน ย้ำกลยุทธ์ Banpu Greener & Smarter นำองค์กรสู่ธุรกิจพลังงานยุคใหม่

0
220

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานแห่งเอเชีย รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2560 มีรายได้จากการขายรวม 1,266 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 43,425 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 244 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8,369 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิรวม 107 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3,670 ล้านบาท) พลิกฟื้นตัวจากกำไรสุทธิ 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 96 ล้านบาท) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาขายถ่านหินของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 ในไตรมาสที่ 2/2560 พร้อมประกาศกลยุทธ์ Banpu Greener & Smarter นำองค์กรสู่ธุรกิจพลังงานยุคใหม่

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของบ้านปูฯ เติบโตตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ สูงขึ้น ประกอบกับธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่รับรู้กำไรเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในไตรมาสที่ 1/2560 และธุรกิจไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตได้ต่อเนื่องในไตรมาสนี้

โดยในส่วนของผลการดำเนินงานของบ้านปูฯ ในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2560 มีรายได้จากการขายรวม 633 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21,713 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น163 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,591 ล้านบาท)  หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ในไตรมาสที่ อยู่ที่ 215 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7,375 ล้านบาท) ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ 66 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,264 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 725 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2560 ของบริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 1,266 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 43,425 ล้านบาท)  เพิ่มขึ้น 244 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8,369 ล้านบาท)  หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA รวม 431 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 14,784 ล้านบาท)  และมีกำไรสุทธิรวม 107 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,670 ล้านบาท) สะท้อนทิศทางการดำเนินงานที่ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นจากปีที่ผ่านมา

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 จำแนกตามประเภทธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจถ่านหิน ในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2560 มีรายได้จากการขาย 582 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,963 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ  3 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคาขายเฉลี่ยของไตรมาสนี้ อยู่ที่ 66.66 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 44 จาก 46.23 เหรียญสหรัฐต่อตันในปีก่อน และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 65.86 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาสก่อนหน้า  มีปริมาณการขาย 8.71 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.13 ล้านตันจากไตรมาสก่อนหน้า แบ่งเป็นปริมาณการขายจากเหมืองในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 5.56 ล้านตัน และออสเตรเลีย 3.15 ล้านตัน

สำหรับราคาขายเฉลี่ยของบริษัทฯ ทั้งจากเหมืองในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน เพิ่มขึ้นตามราคาเฉลี่ยของถ่านหินในตลาดโลก ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อนหน้าและร้อยละ 52 จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 70.43 เหรียญสหรัฐต่อตัน

ธุรกิจไฟฟ้า มีรายได้จากการขายรวมจากธุรกิจ ไฟฟ้า ไอน้ำ และอื่นๆ  43  ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,475 ล้านบาท)   ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรในระดับที่ดีจากโรงไฟฟ้า BLCPและ โรงไฟฟ้าหงสาที่สามารถดำเนินงานได้ราบรื่นต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นส่วนแบ่งกำไรที่สูงที่สุดตั้งแต่โรงไฟฟ้าเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์มาเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ส่งผลให้ธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาสนี้มี EBITDA 59 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,024 ล้านบาท)

ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ การลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา มีรายได้ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 274 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 34 ล้านบาท) หรือร้อยละ 14 จากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนแหล่งก๊าซเพิ่มเติมสองแหล่งในไตรมาสที่ผ่านมา

นางสมฤดี กล่าวว่า บ้านปูฯ ได้กำหนดกลยุทธ์ Banpu Greener & Smarter คือ การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานอย่างชาญฉลาดคุ้มค่ามากขึ้น โดยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีจัดการพลังงาน เพิ่มเติมจากธุรกิจถ่านหินที่บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทพลังงานครบวงจร ตามทิศทางอุตสาหกรรมพลังงานโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

แนวโน้มการบริโภคพลังงานโลกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พลังงานฟอสซิลทั้งถ่านหินและน้ำมันได้รับการคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโต เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ยังมีความมั่นคงสูงที่สุด อย่างไรก็ตามปัจจุบันทั่วโลกมีความห่วงใยสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะข้อตกลงปารีสที่กำหนดร่วมกันว่า จะช่วยกันควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสภายในปี 2593 – 2643 เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อนโยบายพลังงานของโลกในอนาคต ส่งผลให้ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเข้ามาเสริมปริมาณพลังงานพื้นฐานที่มีอยู่เดิม ประกอบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้พลังงานของคนในโลกสมัยใหม่ เรามองว่านี่คือ โอกาสในการลงทุนธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ ที่เป็นมิตรกับสิ่